แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Ear nose throat แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Ear nose throat แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

3,310 การรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น โดยวิธีใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวกและวิธีไม่ผ่าตัด

โดยอาจารย์แพทย์หญิง นฤชา จิรกาลวสาน
หนวยโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤตฯ
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านความผิดปกติจากการนอนหลับ 
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย



วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

3,292 การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในเวชปฏิบัติในปัจจุบัน (update in lymphoma diagnosis in clinical practice)

โดยศาสตราจารย นายแพทยสัญญา สุขพณิชนันท์
ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลยมหิดล
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-ภาพรวม (overview)
-ภูมิหลัง (background)
-คำนิยามของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (definition of lymphoma)
-การจำแนกประเภทมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในปัจจุบัน (current classification of malignant lymphoma)
-เอกสารอ้างอิง

ลิ้งค์ http://rcot.org/data_detail.php?op=doctor&id=352

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

3,285 แนวทางการตรวจสมรรถภาพการได้ยินในงานอาชีวอนามัย พ.ศ. 2558

จัดทำโดยสมาคมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย และ รพ.นพรัตนราชธานี


ลิ้งค์ดาวน์โหลด https://drive.google.com/open?id=0BwBa0n4jc_eeUTBVbVpTMzRFVGs

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

3,208 Pearl and pitfalls in treating allergic rhinitis

Pearl and pitfalls in treating allergic rhinitis
The annual meeting of the allergy, asthma and immunology society of Thailand
โดย ศ.นพ.เกียรต รักษ์รุ่งธรรม
คณะแพทยศาสตร์ 
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

3,200 อาการเวียนศีรษะ เสียการทรงตัวในผู้สูงอายุ

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทยหญิงสุวัจนา อธิภาส
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-บทนำ
-ขั้นตอนการประเมินอาการ
-การวินิจฉัยแยกโรคที่เกิดจากหูชั้นในและสมอง
-การซักประวัติ
-การตรวจร่างกายทั่วไปและที่สำคัญ
-การตรวจพิเศษ
-หลักการรักษา
-เอกสารอ้างอิง

ลิ้งค์ http://www.rcot.org/datafile/_file/_doctor/9c246c8db0cbab39beafd71f7b87cbef.pdf

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

3,087 Allergic rhinitis

Clinical practice
N Engl J Med January 29, 2015

-ประมาณ 15-30% ของผู้ป่วยในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (allergic rhinitis) เป็นสภาวะที่มีผลต่อการทำงานและคุณภาพชีวิตในเด็กและผู้ใหญ่
-มักจะพบร่วมกับโรคหอบหืดและโรคภูมิแพ้อื่น ๆ โดยคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคหอบหืดจะมีโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้
-การให้กลูโคคอร์ติคอยด์เข้าทางจมูก จะเป็นรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ยาต้านฮิสตามีนแบบรับประทานและให้ทางจมูก รวมถึง leukotriene-receptor antagonists ต่อมา อย่างไรก็ตามผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้รับการบรรเทาด้วยการให้ยาอย่างเพียง
-การรักษาด้วยการฉีดยาเพื่อปรับภูมิคุ้มกัน (allergen immunotherapy) ควรใช้ในผู้ป่วยที่ยังงมีอาการหรือในผู้ที่ไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาได้
-ปัจจุบันมีการรักษาด้วยการฉีดยาเพื่อปรับภูมิคุ้มกันสองรูปคือ การฉีดใต้ผิวหนัและชนิดเม็ดละลายอย่างรวดเร็วเมื่ออมใต้ลิ้น ซึ่งชนิดหลังนั้ในประเทศสหรัฐอเมริกาใช้เพื่อการรักษาโรคภูมิแพ้หญ้าและละอองเกสร (grass and ragweed allergy) ทั้งสองรูปแบบของการรักษาโดยทั่วยังคงมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องหลังจากที่หยุดการรักษา
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-The Clinical Problem
-Strategies and Evidence
   Diagnosis
   Treatment
   Areas of Uncertainty
   Guidelines
-Conclusions and Recommendations
-Key Clinical Points
-Source Information

อ้างอิงและอ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMcp1412282

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

2,990 Current practice and guidance in allergic rhinitis management

โดย อ. นพ. สงวนศักดิ์ ธนาวิรัตนากิจ
ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-พยาธิสรีรวิทยา
-อาการและอาการแสดง
-การวินิจฉัยแยกโรค
-การทดสอบเพื่อวินิจฉัยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้
-ชนิดของโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้
-ชนิดของสารก่อภูมิแพ้
-แนวทางการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้
-ยาที่ใช้ในการรักษาจมูกอักเสบภูมิแพ้
-ตารางสรุปยาที่ใช้ในการรักษาจมูกอักเสบภูมิแพ้
-เอกสารอ้างอิง

Ref: http://www.slideshare.net/UtaiSukviwatsirikul/allergic-rhinitis-cpg?related=2

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

2,825 Peritonsillar abscess (quinsy, quinsey)

ชาย 30 ปี ปวดในช่องปากด้านขวา กลืนลำบาก อ้าปากลำบาก 3 วัน จะให้การวินิจฉัยอะไรและให้การรักษาอย่างไร?


ขอขอบคุณสำหรับความคิดเห็นเพื่อการเรียนรู้ครับ
ภาพนี้เป็นช่วงที่ผู้ป่วยดีขึ้นบ้างแล้ว อาการปวดลดลง อ้าปากได้กว้างขึ้น เริ่มพูดและรับประทานได้แล้วจึงสามารถถ่ายรูปได้
ซึ่งจากข้อมูลและการตรวจตั้งแต่แรกทำให้คิดถึง peritonsillar abscess หรืออาจเรียกว่า (quinsy, quinsey) ทางด้านขวา โดยประวัติและการตรวจร่างกายมักจะสามารถให้การวินิจฉัยได้ แต่บางครั้งอาจจะใช้เครื่องมือในการช่วยวินิจฉัยได้ เช่น การใช้อัลตร้าซาวนด์ โดยอาจวางหัวตรวจที่ตำแหน่ง submandibular gland หรือการตรวจในช่องปากโดยให้ผู้ป่วยนั่ง แล้วใช้ tongue blade กดที่ลิ้นไว้ ใช้หัวตรวจวางที่รอยโรคซึ่งอาจจะพบ echo-free cavity with an irregular, well-defined circumference แต่การที่ผู้ป่วยอ้าปากได้น้อย (มี trimus) อาจจะเกิดข้อจำกัดในการตรวจ
การวินิจฉัยแยกโรคได้แก่
-Peritonsillar cellulitis
-Cervical adenitis
-Tonsillar abscess
-Dental infections
-Salivary gland infection
เป็นต้น
การรักษา อาจจะใช้การทำ needle aspiration, incision and drainage, และการทำ tonsillectomy
โดยยากลุ่ม pennicillin เป็นยาทางเลือกหลักในการรักษา แต่กรณีที่เป็นเชื้อ beta-lactamase-producing organisms อาจพิจารณายาเป็น clindamycin, second หรือ third-generation หรือถ้าใช้ pennicillin แล้วไม่ตอบสนองอาจเพิ่ม metronidazole ระหว่างรอผลการเพาะเชื้อและการตอบสนองของยา และชนิดของยาปฏิชีวนะยังขึ้นอยู่กับการย้อมเชื้อสีแกรม, การเพาะเชื้อด้วย
ส่วนผู้ที่ร่วมตอบแสดงความเห็นบอกว่าเป็น deep neck infections ซึ่งก็ถือว่า peritonsillar abscess เป็นการติดเชื้อของโพรงส่วนลึกของคอ (deep neck infections) เช่นกันครับ โดย deep neck infections เป็นการอักเสบติดเชื้อที่บริเวณศรีษะและคอซึ่งเกิดขึ้นภายในโพรงที่เกิดจากเยื้อพังผืดส่วนลึกของคอ (deep cervical fascia) เยื่อพังผืดดังกล่าวห่อหุ้มอวัยวะต่างๆ บริเวณคอ ได้แก่ กล้ามเนื้อในบริเวณลำคอ กล่องเสียง หลอดลม หลอดอาหาร ต่อมต่างๆ รวมถึง เส้นประสาท และหลอดเลือด โดยที่การติดเชื้อของโพรงลึกส่วนคอสามารถแบ่งย่อยเป็นโพรง (spaces) ต่างๆ ตามตำแหน่งทางกายวิภาค ได้แก่ superficial space, retropharyngeal space, danger space, prevertebral space, vascular space, submandibular space, parapharyngeal space, peritonsillar space, masticator and temporal space, parotid space เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

2,651 Diagnostic approach to patients with tinnitus

January 15 2014 Vol. 89 Number 2
American Family Physician 

หูอื้อ เป็นอาการที่พบได้บ่อยๆ ในแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว นิยามคือรับรู้ของเสียงโดยที่ไม่มีการกระตุ้นจากเสียงภายนอกร่างกาย เนื่องจากหูอื้อเป็นอาการและไม่ใช่โรค ซึ่งสาเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดหูอื้อจะต้องค้นหาเพื่อที่จะช่วยผู้ป่วยให้ดีที่สุด แม้ว่าหูอื้อมักจะหาสาเหตุไม่ได้ (idopathic) แต่พบว่าการสูญเสียการได้ยินจากระบบประสาทเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด และยังสามารถเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้แก่ โรคของหู, หลอดเลือด, มะเร็ง, ระบบประสาท, ยา, ด้านทันตกรรม, และปัจจัยทางจิตวิทยา รวมถึงสาเหตุที่รุนแรงมากขึ้น เช่นโรคมีเนียร์หรือเนื้องอกของเส้นประสาทหู (vestibular schwannoma) ซึ่งควรตรวจประเมินเพื่อการตัดออก ประวัติและการตรวจร่างกายบริเวณศรีษะ, ตา, หู, จมูก, ลำคอ และระบบประสาทจะเป็นแนวทางในตรวจประเมินต่อไป
โดยผู้ป่วยเกือบทั้งหมดที่มีหูอื้อควรได้รับการตรวจการได้ยิน (audiometry) ร่วมกับการตรวจการทำงานของหูชั้นกลางด้วย tympanometry และผู้ป่วยบางราย จำเป็นต้องตรวจ neuroimaging หรือการตรวจการทำงานของประสาทหูชั้นใน (vestibular function) ร่วมกับเครื่องตรวจบันทึกภาวะนัยน์ตากระตุก (electronystagmography)
การสนับสนุนเพื่อให้คำปรึกษาควรเริ่มต้นในระหว่างการประเมินตั้งแต่ช่วงแรกเพื่อที่จะช่วยผู้ป่วยในการรับมือกับหูอื้อ การให้คำปรึกษาอาจจะเพิ่มโอกาสของการรักษาที่ประสบความสำเร็จต่อไปด้วย

Ref: http://www.aafp.org/afp/2014/0115/p106.html

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

2,645 ชนิดของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ( allergic rhinitis)

Seasonal allergic rhinitis จะมีอาการในช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือฤดูหนึ่ง โดยจะเป็นช่วงที่มีสารก่อภูมิแพ้สูง ซึ่งมักเป็นสารก่อภูมิแพ้จากภายนอกบ้าน เช่น ละอองเกสร หญ้า วัชพืช พืชดอก พืชต่างๆ
สปอร์ของเชื้อรา เป็นต้น
Perennial allergic rhinitis ผู้ป่วยมักมีอาการทั้งปี มักเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ที่มีในที่อยู่อาศัย หรือในสถานที่ทำงาน เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนและรังแคสัตว์ เชื้อรา เป็นต้น
ส่วน WHO ได้แบ่งได้เป็น
Intermittent คือมีอาการเป็นบางครั้ง น้อยกว่า 4 วัน/สัปดาห์ หรือมีอาการติดต่อกันน้อยกว่า 4 สัปดาห์
Persistent คือมีอาการโดยตลอด คือมีมากกว่า 4 วัน/ สัปดาห์ และเป็นนานต่อเนื่องมากกว่า 4 สัปดาห์

Ref: http://www.rcot.org/datafile/_file/_doctor/2c8b94f621a80887da6a17d3f25597f6.pdf
http://www.uptodate.com/contents/allergic-rhinitis-seasonal-allergies-beyond-the-basics
http://aaia.ca/learnthelink/images/ARIA_07_At_A_Glance_1st_Edition_July_07.pdf

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

2,619 การตรวจวินิจฉัยก้อนของต่อมไทรอยด์ (Diagnostic Approach to Thyroidal Nodule)

โดย รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงพรพิมพ์ กอแพร่พงศ์
แพทย์หญิงวรปารี สุวรรณฤกษ์
ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตรศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-บทนำ
-ลักษณะภาพคลื่นเสียงความถี่สูงที่ใช้ในการแยกก้อนเนื้อธรรมดาและก้อนเนื้อมะเร็งในต่อมไทรอยด์ทางคลินิก
-ข้อควรระวังในการแปลผลลักษระภาพคลื่นเสียงความถี่สูงของก้อนในต่อมไทรอยดฺ์
-ข้อบ่งชี้ในการเจาะดูดเซลจากก้อนไทรอยด์ส่งตรวจทางเซลวิทยา

Ref: http://www.rcot.org/datafile/_file/_doctor/83b60f72297087578feb9128cdab3e1e.pdf

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

2,461 กลไกของ betahistine ที่เกี่ยวกับการรักษาอาการเวียนศรีษะบ้านหมุนและความผิดปกติของการทรงตัว

Betahistine (N alpha-methyl-2-pyridylethylamine) มีโครงสร้างเป็น weak histamine H1 receptor agonist  และมีคุณสมบัติเป็น potent H3 receptor antagonist [โดย H3 receptor ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ CNS มีเพียงส่วนน้อยที่อยู่ใน PNS]
Betahistine ทำให้การชดเชยการทรงตัว (vestibular compensation) ในสัตว์ดีขึ้นในรูปแบบของการมีความผิดปกติฝั่งเดียว (unilateral vestibular dysfunction) โดยเฉพาะกลไกของยาต่อระบบประสาทส่วนกลาง
โดยมีการเสนอว่า betahistine อาจจะลดของการทำงานที่ไม่สมดุลของ sensory vestibular organs ที่ส่วนปลาย  นอกเหนือจากการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่ vestibulocochlear โดย antagonising local H3 heteroreceptors
Betahistine ออกฤทธิ์ต่อส่วนกลางโดยการเพิ่มการสังเคราะห์ฮีสตามีนภายใน tuberomammillary nuclei ของ posterior hypothalamus และเพิ่มการหลั่งฮีสตามีนภายใน vestibular nuclei ผ่านทาง antagonism of H3 autoreceptors
ซึ่งกลไกต่างๆ เหล่านี้ร่วมกับผลที่มีเฉพาะเจาะจงน้อยกว่าของ betahistine ในการควบคุมผ่านทาง cerebral H1 receptors จะส่งเสริมและเอื้อต่อการชดเชยความผิดปกติของการทรงตัว

ซึ่งจากการอ่านรายละเอียดจากบทคัดย่อผมก็ยังงงๆ อยู่ อาจเพราะรายละเอียดน้อย แต่พอดีไม่สามารถอ่านฉบับเต็มได้ ถ้าใครมีฉบับเต็มจะช่วยอนุเคระห์มาให้อ่านเพิ่มจะขอบพระคุณอย่างมากเลยครับ

อ้างอิงและอ่านต่อ: http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11700150

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

2,133 หูชั้นนอกอักเสบเฉียบพลัน

Acute otitis externa: an update
American Family Physician
December 1 2012 Vol. 86 No. 11

หูชั้นนอกอักเสบเฉียบพลัน (acute otitis externa) เป็นภาวะที่พบบ่อยซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบของช่องหู ซึ่งชนิดเฉียบพลันมีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเชื้อ Pseudomonas aeruginosa และ Staphylococcus aureus เป็นเชื้อโรคที่พบมากที่สุด
หูชั้นนอกอักเสบเฉียบพลันมีลักษณะการเกิดอาการอย่างรวดเร็วของการมีช่องหูอักเสบทำให้เกิดอาการปวดหู, คัน, รูหูแดง, และมีน้ำใหลออกจากหูและมักจะเกิดขึ้นภายหลังการว่ายน้ำหรือการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้รับการทำความสะอาดอย่างไม่เหมาะสม การกดเจ็บขณะทำการเคลื่อนไหวของจุดนูนที่เป็นกระดูกอ่อนอยู่หน้าหู (tragus) เป็นสิ่งที่พบได้เสมอ
ยาต้านจุลชีพหรือยาปฏิชีวนะเฉพาะที่เช่น acetic acid, aminoglycosides, polymyxin B, และ quinolones เป็นการรักษาทางเลือกหลักในกรณีที่ไม่ซับซ้อน ซึ่งยาเหล่านี้ในสูตรการเตรียมอาจมีหรือไม่มีคอร์ติโคสเตอรอยด์ ซึ่งการเพิ่มคอร์ติโคสเตอรอยด์อาจช่วยให้อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่ดีพอว่ายาต้านจุลชีพหรือสูตรยาปฏิชีวนะใดเหนือกว่าอีกยาหนึ่งในทางคลินิก ทางเลือกของการรักษาขึ้นอยู่กับจำนวนของปัจจัย, รวมทั้งสถานะของเยื่อแก้วหู, ลักษณะของผลกระทบ, การยอมรับการใช้ยา, และค่าใช้จ่าย
สูตรที่ประกอบด้วย neomycin/polymyxin B/hydrocortisone เป็นยาที่มีเหตุผลอันดับแรกที่เหมาะสมเมื่อแก้วหูปกติ ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานจะสงวนไว้สำหรับกรณีที่การติดเชื้อได้แพร่กระจายเกินกว่าช่องหูหรือในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงของการติดเชื้อที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ส่วนโรคหูชั้นนอกอักเสบเรื้อรัง (chronic otitis externa) มักมีสาเหตุมาจากโรคภูมิแพ้หรือโรคผิวหนังอักเสบที่มีอยู่เดิมและสามารถให้รักษาโดยการรักษาสาเหตุที่เป็นอยู่

Ref: http://www.aafp.org/online/en/home/publications/journals/afp.html

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

2,087 การรักษาเยื่อบุจมูกและโพรงอากาศรอบๆ จมูกอักเสบเรื้อรัง (chronic rhinosinusitis)

Management of chronic rhinosinusitis
BMJ  Clinical review 
Published 30 October 2012

Chronic rhinosinusitis (CRS) เป็นสภาวะทางการแพทย์ ที่พบได้บ่อยของแพทย์เวชปฏิบัติ จากการปรับปรุงใหม่ของ European Position Paper on Rhinosinusitis and Nasal Polyps ได้รายงานว่าสามารถพบได้ 5-15% ในประชากรยุโรปและอเมริกา แม้ว่าข้อมูลทางระบาดวิทยาที่มีคุณภาพสูงจะยังไม่เพียงพอ โดยจากแบบสอบถามจากหลายสถาบันที่สำรวจในผู้ใหญ่ในยุโรปคาดว่าหนึ่งในสิบของผู้เข้าร่วมมี CRS แต่สังเกตุว่ามีความแตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์ การประมาณการความชุกของริดสีดวงจมูก (nasal polyps) เป็นเรื่องยากที่สามารถทำการส่องกล้องตรวจจมูก (ซึ่งเป็นการวินิจฉัยที่เชื่อถือได้) ได้อย่างทั่วถึง โดยข้อมูลแบบสอบถามอาจประเมินความชุกของริดสีดวงจมูกมากกว่าความเป็นจริง
โดยใน summary points กล่าวว่า
Chronic rhinosinusitis (CRS) เป็นสภาวะการอักเสบเรื้อรังของรูจมูกและโพรงอากาศข้างๆจมูก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้โดยการมีหรือไม่มีริดสีดวงจมูก
การรักษาหลักคือการใช้สเตอรอยด์เฉพาะที่ (topical corticosteroids) อาการปวดใบหน้าเป็นส่งบ่งชี้ที่ไม่ดีของการวินิจฉัย ถ้าการรักษาด้วยยาไม่ดีขึ้น มีความจำเป็นต้องส่งต่อไปยังยแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูก

Ref: http://www.bmj.com/content/345/bmj.e7054

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

1,945 การใช้อัลตราซาวนด์เปรียบเทียบกับการใช้ตำแหน่งทางกายวิภาคเพื่อการเจาะระบายฝีรอบต่อมทอนซิล

Randomized Trial Comparing Intraoral Ultrasound to Landmark-based Needle Aspiration in Patients with Suspected Peritonsillar Abscess

Acad Emerg Med. 2012 Jun;19(6)

วัตถุประสงค์ แต่เดิมแล้วแพทย์ฉุกเฉิน (emergency physicians, EPs) ใช้ตำแหน่งทางกายวิภาคเพื่อใช้เข็มเจาะดูดในการระบายฝีรอบต่อมทอนซิล (peritonsillar, PTAs) หากไม่ประสบความสำเร็จจะทำการตรวจโดยถ่ายภาพ ( imaging study) และ/หรือการส่งปรึกษาเพื่อดำเนินการระบายหนองต่อ เมื่อเร็ว ๆ นี้
แพทย์ฉุกเฉินบางส่วนได้นำอัลตราซาวนด์มาใช้เพื่อระบายหนอง การศึกษานี้มุ่งที่จะตรวจสอบว่าวิธีการตรวจโดยใช้อัลตร้าซาวด์ตั้งแต่เริ่มต้นนำไปสู่ความสำเร็จในการระบายหนองที่มากขึ้น โดยวัตถุประสงค์หลักของการศึกษานี้คือเพื่อเปรียบเทียบความถูกต้องของการวินิจฉัยฝีรอบต่อมทอนซิลหรือการติดเชื้อของต่อมทอนซิล (peritonsillar cellulitis, PTC) โดยการใช้อัลตร้าซาวด์เข้าทางช่องปาก หรือการใช้เข็มเจาะดูดโดยการดูจากตำแหน่งทางกายวิภาค (landmark technique, LM) ส่วนวัตถุประสงค์รองคือการประสบความสำเร็จในการเจาะดูดหนอง โดยแขนหนึ่งใช้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์  (Computed Tomography, CT) ส่วนอีกแขนหนึ่งปรึกษาแพทย์โสตศอนาสิก (ENT)
วิธีการศึกษา
เป็นการศึกษาแบบ prospective, randomized, controlled clinical trial ผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มาในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่แห่งเดียวในเขตเมือง ผู้ป่วยที่ลงทะเบียนซึ่งมีอาการและอาการแสดงที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นฝีรอบต่อมทอนซิล ผู้ป่วยถูกสุ่มให้ได้รับการใช้อัลตร้าซาวด์เข้าทางช่องปากหรือโดยดูตำแหน่งทางกายวิภาคเพื่อการระบายหนอง โดยใช้อัลตร้าซาวด์ความถี่ 8-5 MHz หัวตรวจชนิด intracavitary เมื่อนำหัวตรวจออกแล้วผู้ทำอัลตร้าซาวด์ก็จะทำการเจาะดูดต่อ การระบายโดยดูตำแหน่งทางกายวิภาคจะทำการดูดจากส่วนบนลงถึงส่วนล่างจนกระทั่ง ได้หนองหรืออย่างน้อยสองครั้ง มีการให้ยาระงับความรู้สึกตามมาตรฐาน ผู้ป่วยได้รับการนัดติดตามใน 2 วันที่วินิจฉัยขั้นสุดท้าย
ผลการศึกษา มีผู้ป่วย 28 รายที่ลงทะเบียน โดยมี 14 คนในแต่ละแขนของการศึกษา การใช้อัลตร้าซาวด์ให้การวินิจฉัยที่ถูกมากกว่าการดูตำแหน่งทางกายวิภาค [(100%, ช่วงความเชื่อมั่น 95% [CI] = 75% - 100% เทียบกับ 64%, 95% CI = 39% - 84% p = 0.04)]
อัลตร้าซาวด์ยังนำไปสู่​​การประสบความสำเร็จมากขึ้นในการเจาะดูดหนองมากกว่าการดูตำแหน่งทางกายวิภาค [(100%, 95% CI = 63% -100% เทียบกับ 50%, 95% CI = 24% 76% p = 0.04)], อัตราการปรึกษา ENT คือ 7% (95% CI = 0% - 34%) สำหรับอัลตร้าซาวด์เมื่อเทียบกับ 50% (95% CI =% 27-73%) ของการดูจากตำแหน่งทางกายวิภาค (p = 0.03) อัตราการใช้ CT 0% สำหรับการใช้อัลตร้าซาวด์เมื่อเทียบกับ 35% สำหรับการดูตำแหน่งทางกายวิภาค (p = 0.04)
สรุป การใช้อัลตร้าซาวด์เข้าทางช่องปากตั้งแต่ในระยะแรกโดยแพทย์ฉุกเฉินสามารถให้การวินิจฉัยฝีรอบต่อมทอนซิลหรือการติดเชื้อของต่อมทอนซิลได้อย่างน่าเชื่อถือ นอกจากนี้การใช้อัลตร้าซาวด์เข้าทางช่องปากเพื่อช่วยในการระบายหนองโดยการใช้เข็มเจาะดูดจะนำไปสู่​​ความสำเร็จมากขึ้นเมื่อเทียบกับวิธีการดั้งเดิมซึ่งอาศัยการดูตำแหน่งทางกายวิภาคจากตรวจร่างกายเพียงอย่างเดียว

อ่านต่อ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22687177?dopt=Abstract

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

1,915 Otitis externa

Am Fam Physician. 2006 Nov 1;74(9):1510-1516


โรคหูชั้นนอกอักเสบ (otitis externa) สามารถเกิดได้ทั้งชนิดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ชนิดเฉียบพลันเกิดขึ้น 4/1,000 คนต่อปี และชนิดเรื้อรังเกิดขึ้น 3 -5 เปอร์เซ็นต์ของประชากร แบบเฉียบพลันมักเกิดจากแบคทีเรีย (90 เปอร์เซ็นต์) หรือเชื้อรา (10 เปอร์เซ็นต์) การเจริญของเชื้อในช่องหูอาจจะเนื่องจากมีความชื้นมากหรือมีการบาดเจ็บเฉพาะที่ชนิดเรื้อรังมักจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาผิวหนังทั่วๆ ไปหรืออาการแพ้ อาการของโรคในช่วงต้นจะมีลักษณะเฉียบพลันและส่วนใหญ่จะเป็นเรื้อรัง โดยมีอาการคันและความรู้สึกไม่สบายที่หู หากไม่ได้รับการรักษา ภาวะเฉียบพลันสามารถก่อให้เกิดอาการบวมของรูหู มีสิ่งคัดหลั่ง ปวด และในที่สุดจะเกิดลักษณะของความผิดปกติที่นอกรูหู
ยาเฉพาะซึ่งมีสารที่ช่วยเพิ่มความเป็นกรดมักจะเพียงพอในการรักษาโรคในระยะเริ่มต้น ยาใช้เฉพาะที่ซึ่งมีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะเป็นการรักษาที่น่าพอใจในระยะหลังของชนิดเฉียบพลัน ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานจะถูกสงวนไว้สำหรับโรคที่เป็นรุนแรงหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
มาตรการในการป้องกันช่วยลดการเกิดซ้ำโดยการลดความชื้นในช่องหูให้น้อยลง ป้องกันการบาดเจ็บหรือการสัมผัสกับสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองเฉพาะที่หรือโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส

Ref: http://www.aafp.org/afp/2006/1101/p1510.html

1,914 เกณฑ์การแบ่งชนิดของหูชั้นกลางอักเสบ

หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (acute otitis media): อาการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
และมีน้ำคั่งในหูชั้นกลาง โดยดูจากมีการโป่งของเยื่อแก้วหู มีการลดลงหรือไม่เคลื่อนไหวของเยื่อแก้วหู มีระดับลม-น้ำอยู่หลังเยื่อแก้วหู
และอาการและอาการแสดงของหูชั้นกลางอักเสบ โดยดูจากมีการแดงของเยื่อแก้วหูหรืออาการปวดหูที่รบกวนต่อการนอนและกิจวัตรตามปกติ
หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันที่คงอยู่ต่อเนื่อง (persistent acute otitis media): มีลักษณะของการคงอยู่ยาวนานของการติดเชื้อระหว่างการให้ยาปฏิชีวนะ
หรือกำเริบซ้ำภายในหนึ่งเดือนหลังการรักษาครบ
หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันกำเริบซ้ำ (recurrent acute otitis media): มีการเกิดขึ้นซ้ำตั้งแต่สามครั้งขึ้นไปภายใน 6-18 สัปดาห์
หูชั้นกลางอักเสบร่วมกับมีน้ำขัง (otitis media with effusion): น้ำอยู่หลังเยื่อแก้วหูโดยไม่มีลักษณะของการอักเสบเฉียบพลัน
หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังร่วมกับมีน้ำขัง (chronic otitis media with effusion): มีลักษณะของการคงอยู่ยาวนานของน้ำอยู่หลังเยื่อแก้วหูโดยไม่มีลักษณะของการอักเสบเฉียบพลัน
หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังร่วมกับมีหนองขัง (chronic suppurative otitis media): มีการอักเสบของหูชั้นกลางหรือโพรงอากาศมาสทอยด์คงอยู่ยาวนาน มีการเกิดขึ้นซ้ำหรือคงอยู่ยาวนานของอาการปวดหูรวมถึงเยื่อแก้วหูทะลุ

Ref: http://www.aafp.org/afp/2007/1201/p1650.html

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

1,855 Combination nasal steroid–antihistamine is more effective than either agent alone

Journal watch
การให้เตียรอยด์ทางจมูก มีประสิทธิภาพมากที่สุดทางด้านเภสัชวิทยาในการรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ตามฤดูกาล (seasonal allergic rhinitis, SAR) แต่ต้องใช้เวลาหลายวันจึงเกิดผล และผู้ป่วยบางคนไม่ให้เกิดการบรรเทาอาการอย่าเต็มที่ การให้ยาต้านฮีสตามีน (antihistamines) โดยการรับประทานหรือ montelukast (Singulair) ไม่ได้เพิ่มประโยชน์มากนัก
ใน 3 การศึกษาที่แยกจากกัน ผู้วิจัยได้ทำการสุ่มผู้ป่วยวัยรุ่นและผู้ใหญ่  3,398 คน ที่มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ตามฤดูกาลระดับปานกลางถึงรุนแรง (โดยไม่คำนึงถึงการรักษาที่เคยได้ก่อน) ซึ่งแบ่งเป็น การใช้ azelastine (antihistamine intranasal) วันละสองครั้ง, fluticasone propionate, การใช้ยาทั้งสองร่วมกัน หรือใช้ยา placebo เป็นเวลา 2 สัปดาห์ในช่วงฤดู​​การแพ้; การรักษาทั้งหมดถูกให้ในรูปแบบสเปรย์วันละสองครั้ง
การศึกษาได้รับการสนับสนุนโดยบริษัท azelastine และตรวจสอบผลิตภัณฑ์ซึ่งมีการใช้ร่วมกัน ระยะเวลาเริ่มออกฤทธฺ์ของการรักษาร่วมกันคือ 30 นาที ในทุกๆ วันของการศึกษา พบว่าผู้ที่ได้รับยาร่วมกันมีคะแนนของอาการทางจมูกทั้งหมดดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเช้าและเย็นมากขึ้นกว่าคนไข้ที่ได้รับเฉพาะยา azelastine หรือ fluticasone ซึ่งการรักษาทั้งหมดมีนัยสำคัญดีกว่ายา placebo
ในหัวข้อความคิดเห็นได้กล่าวไว้ว่า สำหรับผู้ที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ตามฤดูกาลในระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่สามารถให้การควบคุมได้ด้วยยาเตียรอยด์ทางจมูกเพียงอย่างเดียว การรักษาทางเลือกควรจะเป็นการให้ยาร่วมกันของยาเตียรอยด์ทางจมูกและยาต้านฮีสตามีนทางจมูก สำหรับผู้ป่วยที่ที่มีอาการรุนแรง การให้ยาร่วมกันควรที่จะเริ่มเป็นการรักษาแรก แต่ azelastine จะมีรสชาดขม และการใช้สเปรย์สองชนิดที่ต่างกันจะเพิ่มค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากซับซ้อน (การรวมยาสองอย่างไว้ในผลิตภัณฑ์ด้วยกันยังไม่มี) ซึ่งเรายังไม่ทราบว่าถ้าการใช้ยาร่วมกันเหนือกว่าการใช้เตียรอยด์ทางจมูกอย่างเดียวเมื่อใช้นานกว่า 2 สัปดาห์ แต่เป็นความคุ้มค่าที่จะทดลองในผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้แบบเรื้อรัง

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

1,845 แนวทางการพัฒนาการตรวจรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ในคนไทย (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554)

โดยสมาคมแพทย์โรคจมูก(ไทย) ร่วมกับสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืดและวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย และราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกแพทย์แห่งประเทศไทย
เนื้อหาประกอบด้วย
บทนำและวิธีการจัดทำ
คำจำกัดความและการแบ่งชนิด
โรคร่วมและภาวะแทรกซ้อน
หลักการรักษา
การกำจัดหลีกเลี่ยงและการป้องกัน
การรักษาด้วยยา
การรักษาด้วยวัคซีน(อิมมูนบำบัด)
การรักษาด้วยการผ่าตัด
การแพทย์ทางเลือกและการส่งต่อผู้ป่วย
การรักษาในกรณีเฉพาะ
แผนภูมิ แนวทางการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ด้วยยา


Link download: http://rcot.org/datafile/_file/_doctor/88b81f499ea324fd1c861b51bbb2fcbd.pdf