โดยเครือข่ายโรคพันธุกรรมระบบประสาท คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล หน่วยประสาทวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
บทนำ
แนวทางการซักประวัติและตรวจร่างกายทั่วไป
แนวทางการตรวจร่างกายและตรวจร่างกายผู้ป่วยเด็ก
แนวทางการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจทางชีวเคมีในผปวยโรคพันธุกรรมระบบประสาท
การตรวจกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า (electromyography)
การตรวจภาพรังสี imaging: computerized tomography (CT) and magnetic resonance imaging (MRI)
การตรวจกล้ามเนื้อทางพยาธิวิทยา
การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการพันธุศาสตร์
เวชศาสตร์ฟื้นฟูในผู้ป่วยโรคพันธุกรรมระบบประสาท
ลิ้งค์ http://www.sineurogenetics.org/download/text/nervous-system.pdf
เพื่อการเรียนรู้ medicine และสุขภาพที่ดีของประชาชน (community hospital) * เดิมคือ Phimaimedicine.blogspot.com * ตอนนี้มาปฏิบัติงานอยู่ที่ รพ. ขนอม นครศรีธรรมราชครับ
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Genetic แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Genetic แสดงบทความทั้งหมด
วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
3,010 The α-Thalassemias
Review article
N Engl J Med November 13, 2014
ทาลัสซีเมีย thalassemias เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยยีนเดี่ยว (monogenic diseases) ที่พบมากที่สุดของมนุษย์ ซึ่งความผิดปกติของการสังเคราะห์ฮีโมโกลเหล่านี้ได้รับการถ้ายทอดมาโดยมีการผลิต globin chains ของโกลบินของเม็ดเลือดแดงลดลง โดยทั่วโลกพบว่ารูปแบบที่สำคัญที่สุดคื อัลฟาและเบต้าทาลัสซีเมีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตของ α-globin และ β-globin chain ตามลำดับ
แม้ว่าเบต้าทาลัสซีเมียเป็นรูปแบบที่มีความสำคัญทางคลินิกเป็นอย่างมาก แต่อัลฟาทาลัสซีเมียก็เกิดขึ้นบ่อย มีหลักฐานมากขึ้นว่าภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพและทางเศรษฐกิจในโรคทาลัสซีเมียจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเติบโตของประชากรและการเปลี่ยนแปลงทางระบาดวิทยาของการเคลื่อนย้ายประชากรใน
เขตร้อนและการอพยพของมนุษย์ในส่วนอื่น ๆ ของโลก
จุดมุ่งหมายของบทความนี้คือการให้ข้อสรุปร่วมสมัยของความรู้ทางระบาดวิทยาที่เกี่ยวกับอัลฟาทาลัสซีเมีย และเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับความท้าทายต่างๆ ที่ต้องเผชิญทางการแพทย์และการสาธารณสุขในแง่ของผลการศึกษาวิจัยล่าสุดที่เกี่ยวกับความรุนแรงและพันธุศาสตร์ของการถ่ายทอดความผิดปกตินี้
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Clinical Relevance
-Diagnosis
-Geographic Distribution
-Screening
-Health and Economic Burden
-Management
-Conclusions
-Source Information
อ้างอิงและอ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1404415
N Engl J Med November 13, 2014
ทาลัสซีเมีย thalassemias เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยยีนเดี่ยว (monogenic diseases) ที่พบมากที่สุดของมนุษย์ ซึ่งความผิดปกติของการสังเคราะห์ฮีโมโกลเหล่านี้ได้รับการถ้ายทอดมาโดยมีการผลิต globin chains ของโกลบินของเม็ดเลือดแดงลดลง โดยทั่วโลกพบว่ารูปแบบที่สำคัญที่สุดคื อัลฟาและเบต้าทาลัสซีเมีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตของ α-globin และ β-globin chain ตามลำดับ
แม้ว่าเบต้าทาลัสซีเมียเป็นรูปแบบที่มีความสำคัญทางคลินิกเป็นอย่างมาก แต่อัลฟาทาลัสซีเมียก็เกิดขึ้นบ่อย มีหลักฐานมากขึ้นว่าภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพและทางเศรษฐกิจในโรคทาลัสซีเมียจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเติบโตของประชากรและการเปลี่ยนแปลงทางระบาดวิทยาของการเคลื่อนย้ายประชากรใน
เขตร้อนและการอพยพของมนุษย์ในส่วนอื่น ๆ ของโลก
จุดมุ่งหมายของบทความนี้คือการให้ข้อสรุปร่วมสมัยของความรู้ทางระบาดวิทยาที่เกี่ยวกับอัลฟาทาลัสซีเมีย และเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับความท้าทายต่างๆ ที่ต้องเผชิญทางการแพทย์และการสาธารณสุขในแง่ของผลการศึกษาวิจัยล่าสุดที่เกี่ยวกับความรุนแรงและพันธุศาสตร์ของการถ่ายทอดความผิดปกตินี้
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Clinical Relevance
-Diagnosis
-Geographic Distribution
-Screening
-Health and Economic Burden
-Management
-Conclusions
-Source Information
อ้างอิงและอ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1404415
วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557
2,802 Diagnostic clinical genome and exome sequencing
Review article
N Engl J Med June 19, 2014
การหาลำดับของจีโนมหรือการหาลำดับของเอ็กโซม (exome) สำหรับการประยุกต์ใช้ในทางคลินิก ซึ่งต่อจากนี้จะเรียกว่า clinical genome and exome sequencing (CGES) ซึ่งขณะนี้ได้เข้ามามีบทบาทในเวชปฏิบัติทางการแพทย์ การตรวจสอบ CGES ได้รับการสั่งสำหรับผู้ป่วยจำนวนหลายพันการตรวจ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการวินิจฉัยโรคที่พบน้อย โรคที่ไม่สามารถแยกได้จากลักษณะทางคลินิก ความผิดปกติที่ไม่แน่ใจหรือที่สงสัยว่าจะมีสาเหตุมาจากทางพันธุกรรม
โดยคาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นในการใช้ CGES, คุณลักษณะที่สำคัญคือความแตกต่างจากรูปแบบอื่น ๆ ของการตรวจทางห้องปฏิบัติการ จากการตรวจสอบพบมีความแตกต่างประมาณ 20,000 ยีน พร้อมกับๆ ความสามารถในการเป็นวิธีการวินิจฉัยที่มีประสิทธิภาพ
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
Technical Overview and Limitations of CGES
Indications for Ordering CGES
Evaluating a CGES Result
Interpreting and Communicating CGES Results
Incidental Findings
Summary
Source Information
อ้างอิงและอ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1312543
N Engl J Med June 19, 2014
การหาลำดับของจีโนมหรือการหาลำดับของเอ็กโซม (exome) สำหรับการประยุกต์ใช้ในทางคลินิก ซึ่งต่อจากนี้จะเรียกว่า clinical genome and exome sequencing (CGES) ซึ่งขณะนี้ได้เข้ามามีบทบาทในเวชปฏิบัติทางการแพทย์ การตรวจสอบ CGES ได้รับการสั่งสำหรับผู้ป่วยจำนวนหลายพันการตรวจ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการวินิจฉัยโรคที่พบน้อย โรคที่ไม่สามารถแยกได้จากลักษณะทางคลินิก ความผิดปกติที่ไม่แน่ใจหรือที่สงสัยว่าจะมีสาเหตุมาจากทางพันธุกรรม
โดยคาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นในการใช้ CGES, คุณลักษณะที่สำคัญคือความแตกต่างจากรูปแบบอื่น ๆ ของการตรวจทางห้องปฏิบัติการ จากการตรวจสอบพบมีความแตกต่างประมาณ 20,000 ยีน พร้อมกับๆ ความสามารถในการเป็นวิธีการวินิจฉัยที่มีประสิทธิภาพ
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
Technical Overview and Limitations of CGES
Indications for Ordering CGES
Evaluating a CGES Result
Interpreting and Communicating CGES Results
Incidental Findings
Summary
Source Information
อ้างอิงและอ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1312543
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556
2,457 Primary hyperoxaluria
Review article
Medical progress
N Engl J Med August 15, 2013
ควรคิดถึงโรคนี้ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นนิ่วที่เกิดจากแคลเซียมออกซาเลตซ้ำๆ ภาวะแคลเซียมเกาะที่เนื้อไต (nephrocalcinosis) หรือทั้งสองอย่าง เมื่อการวินิจฉัยได้รับการยืนยันโดยการทดสอบทางพันธุกรรมแล้ว การรักษาแบบ aggressive supportive treatment ถือเป็นข้อบ่งชี้ ตามด้วยกลยุทธ์การปลูกถ่ายอวัยวะที่เหมาะสมเมื่อการทำงานของไตลดลง
ความก้าวหน้าในการรักษาในอนาคตจะมุ่งเป้าไปที่การแก้ไขข้อบกพร่องพื้นฐานโดยไม่ทำให้ผู้ป่วยต้องมีความเสี่ยงในระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับการปลูกถ่ายอวัยวะ
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Epidemiology
Forms of Primary Hyperoxaluria
Genetic Features
Clinical Spectrum
Diagnosis
-Management
Supportive Measures
Dialysis
Transplantation
Future Therapeutic Developments
Summary
Source Information
อ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1301564
วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
2,086 เมื่อไรควรจะสงสัยกลุ่มอาการของโรคพันธุกรรม
When to suspect a genetic syndrome
American Family Physician
November 1 2012 Vol. 86 No. 9
แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวควรจะมีความสามารถในการรับทราบและตระหนักถึงผลการตรวจร่างกายและประวัติที่สนับสนุนการมีโรคทางพันธุกรรมเพื่อช่วยในการวินิจฉัยและการรักษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย รวมถึงการส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทาง
สิ่งสำคัญทั่วไปที่สามารถช่วยให้แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวตระหนักถึงการมีกลุ่มอาการของโรคพันธุกรรม ได้แก่การมีลักษณะผิดรูปร่าง (dysmorphic) ซึ่งเป็นหลักฐานที่จะเห็นได้จากการตรวจร่างกาย; ความผิดปกติหลายๆ อย่างที่เกิดในผู้ป่วยคนเดียว; ความเสียหายของระบบประสาท-การรับรู้ที่ไม่สามารถอธิบายได้; และประวัติครอบครัวที่สนับสนุนโรคทางพันธุกรรม
การมีความผิดปกติรูปร่างหรือโครงสร้าง (malformation) ที่เห็นอย่างชัดเจนหนึ่งอย่างไม่ควรจำกัดการประเมิน (ควรให้การประเมินอย่างเต็มรูปแบบ) เพราะข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้มักจะมีความสำคัญในการวินิจฉัยแยกโรค
การพูดคุยซักถามถึงประวัติครอบครัวในรุ่นที่สาม เป็นสิ่งที่มีค่าเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มอาการของโรคพันธุกรรม ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ อายุและเพศของสมาชิกในครอบครัว; ในเวลาใดที่สมาชิกในครอบครัวได้รับผลกระทบจากโรคหรือเมื่อพวกเขาเสียชีวิต; เชื้อชาติเดิม; และการที่มีสายเลือดเดียวกัน
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านพันธุกรรมสามารถช่วยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในการวินิจฉัยโรค, ให้คำแนะนำในการตรวจทดสอบเพิ่มเติมและการส่งต่อถ้าเห็นสมควร, ช่วยดูแลรักษาโดยตรง, และให้คำปรึกษาสำหรับผู้ป่วยได้รับผลกระทบรวมถึงครอบครัวของผู้ป่วยด้วย
Ref: http://www.aafp.org/afp/2012/1101/p826.html
American Family Physician
November 1 2012 Vol. 86 No. 9
สิ่งสำคัญทั่วไปที่สามารถช่วยให้แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวตระหนักถึงการมีกลุ่มอาการของโรคพันธุกรรม ได้แก่การมีลักษณะผิดรูปร่าง (dysmorphic) ซึ่งเป็นหลักฐานที่จะเห็นได้จากการตรวจร่างกาย; ความผิดปกติหลายๆ อย่างที่เกิดในผู้ป่วยคนเดียว; ความเสียหายของระบบประสาท-การรับรู้ที่ไม่สามารถอธิบายได้; และประวัติครอบครัวที่สนับสนุนโรคทางพันธุกรรม
การมีความผิดปกติรูปร่างหรือโครงสร้าง (malformation) ที่เห็นอย่างชัดเจนหนึ่งอย่างไม่ควรจำกัดการประเมิน (ควรให้การประเมินอย่างเต็มรูปแบบ) เพราะข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้มักจะมีความสำคัญในการวินิจฉัยแยกโรค
การพูดคุยซักถามถึงประวัติครอบครัวในรุ่นที่สาม เป็นสิ่งที่มีค่าเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มอาการของโรคพันธุกรรม ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ อายุและเพศของสมาชิกในครอบครัว; ในเวลาใดที่สมาชิกในครอบครัวได้รับผลกระทบจากโรคหรือเมื่อพวกเขาเสียชีวิต; เชื้อชาติเดิม; และการที่มีสายเลือดเดียวกัน
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านพันธุกรรมสามารถช่วยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในการวินิจฉัยโรค, ให้คำแนะนำในการตรวจทดสอบเพิ่มเติมและการส่งต่อถ้าเห็นสมควร, ช่วยดูแลรักษาโดยตรง, และให้คำปรึกษาสำหรับผู้ป่วยได้รับผลกระทบรวมถึงครอบครัวของผู้ป่วยด้วย
Ref: http://www.aafp.org/afp/2012/1101/p826.html
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555
1,959 Targeting epigenetic readers in cancer
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med August 16, 2012
คำว่า "epigenetics" ยังคงเป็นที่โต้แย้งและมีความคลุมเครือ ซึ่งเดิมมีการตั้งชื่อโดย Waddington เพื่ออธิบายการถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของยีนและฟีโนไทป์ของเซลล์ที่เป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงในลำดับดีเอ็นเอ ซึ่ง epigenetics มีการใช้มากที่สุดในการอธิบายการศึกษาชีววิทยาของโครมาตินและจะเป็นคำนิยามที่ใช้ในบทความนี้
โครมาตินเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนของดีเอ็นเอและโปรตีนฮีสโตน มีโครงสร้าง
สำหรับบรรจุจีโนมทั้งหมดของเราและมีสารที่สามารถถ่ายทอดทางพันธูกรรมของเซลยูคาริโอต
Cancer epigenetics เป็นแง่มุมของการศึกษาวิจัยที่มีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความเข้าใจพยาธิวิทยาของการเกิดโรคมะเร็งในระดับโมเลกุลและการระบุเป้าหมายของการบำบัดใหม่ๆ
ความก้าวหน้าในทางเคมีการแพทย์เพื่อใช้รักษาโรคในปัจุบันทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะระบุเป้าหมายเฉพาะ ซึ่งไม่เพียงแต่การเร่งปฏิกิริยาของควบคุมการเกิด epigenetic แต่ยังรวมถึงปฏิกิริยาระหว่างโปรตีนกับโปรตีนที่จำกัดให้โปรตีนทั้งหลายเหล่านี้ไปยังโครมาติน
แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ส่วนใหญ่ของเนื้องอกมีความไวต่อ bromodomain and extraterminal (BET) เป้าหมายของการรักษา epigenetic ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรมในเนื้องอกชนิดที่มีความไวดังกล่าว ดังนั้นการคัดกรองแบบง่ายเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรมจึงไม่อาจใช้เพื่อทำนายการตอบสนองต่อการรักษา
โดยความเป็นไปได้ในการจะระบุถึงชนิดของเนื้องอกที่มีความไวได้แก่การดูความไวต่อยาและการคัดกรองการเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรม ซึ่งเพิ่งได้รับการรายงานในการศึกษาคัดกรองที่มีขนาดใหญ่สองการศึกษา และการใช้การถอดรหัสหรือตัวชี้วัดทางชีวภาพของ epigenetic ในการทำนายการตอบสนอง
ความสำเร็จในการใช้ bromodomain inhibitors ในการรักษาโรคมะเร็งมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และอุตสาหกรรมยาค้นหาสารส่วนประกอบที่อาจคล้ายเป้าหมายและรบกวน chromatin reader motifs อื่น ๆ รวม ทั้ง chromodomains และ plant homeodomain (PHD) fingers ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วว่ามีบทบาทสำคัญในมะเร็งบางชนิด
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
Epigenetics and Chromatin Biology
Epigenetic Readers
BET Bromodomain Inhibitors
BET Inhibitors in Cancer
-NUT Midline Carcinoma
-Acute Myeloid Leukemia with MLL Translocations
-Multiple Myeloma and Burkitt's Lymphoma
Conclusions
Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1112635
Mechanisms of disease
N Engl J Med August 16, 2012
คำว่า "epigenetics" ยังคงเป็นที่โต้แย้งและมีความคลุมเครือ ซึ่งเดิมมีการตั้งชื่อโดย Waddington เพื่ออธิบายการถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของยีนและฟีโนไทป์ของเซลล์ที่เป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงในลำดับดีเอ็นเอ ซึ่ง epigenetics มีการใช้มากที่สุดในการอธิบายการศึกษาชีววิทยาของโครมาตินและจะเป็นคำนิยามที่ใช้ในบทความนี้
โครมาตินเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนของดีเอ็นเอและโปรตีนฮีสโตน มีโครงสร้าง
สำหรับบรรจุจีโนมทั้งหมดของเราและมีสารที่สามารถถ่ายทอดทางพันธูกรรมของเซลยูคาริโอต
Cancer epigenetics เป็นแง่มุมของการศึกษาวิจัยที่มีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความเข้าใจพยาธิวิทยาของการเกิดโรคมะเร็งในระดับโมเลกุลและการระบุเป้าหมายของการบำบัดใหม่ๆ
ความก้าวหน้าในทางเคมีการแพทย์เพื่อใช้รักษาโรคในปัจุบันทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะระบุเป้าหมายเฉพาะ ซึ่งไม่เพียงแต่การเร่งปฏิกิริยาของควบคุมการเกิด epigenetic แต่ยังรวมถึงปฏิกิริยาระหว่างโปรตีนกับโปรตีนที่จำกัดให้โปรตีนทั้งหลายเหล่านี้ไปยังโครมาติน
แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ส่วนใหญ่ของเนื้องอกมีความไวต่อ bromodomain and extraterminal (BET) เป้าหมายของการรักษา epigenetic ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรมในเนื้องอกชนิดที่มีความไวดังกล่าว ดังนั้นการคัดกรองแบบง่ายเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรมจึงไม่อาจใช้เพื่อทำนายการตอบสนองต่อการรักษา
โดยความเป็นไปได้ในการจะระบุถึงชนิดของเนื้องอกที่มีความไวได้แก่การดูความไวต่อยาและการคัดกรองการเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรม ซึ่งเพิ่งได้รับการรายงานในการศึกษาคัดกรองที่มีขนาดใหญ่สองการศึกษา และการใช้การถอดรหัสหรือตัวชี้วัดทางชีวภาพของ epigenetic ในการทำนายการตอบสนอง
ความสำเร็จในการใช้ bromodomain inhibitors ในการรักษาโรคมะเร็งมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และอุตสาหกรรมยาค้นหาสารส่วนประกอบที่อาจคล้ายเป้าหมายและรบกวน chromatin reader motifs อื่น ๆ รวม ทั้ง chromodomains และ plant homeodomain (PHD) fingers ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วว่ามีบทบาทสำคัญในมะเร็งบางชนิด
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
Epigenetics and Chromatin Biology
Epigenetic Readers
BET Bromodomain Inhibitors
BET Inhibitors in Cancer
-NUT Midline Carcinoma
-Acute Myeloid Leukemia with MLL Translocations
-Multiple Myeloma and Burkitt's Lymphoma
Conclusions
Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1112635
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555
1,558. Genomics and perinatal care
Review article
Genomic medicine
N Engl J Med January 5, 2012
ในวันนี้การพัฒนาการเพื่อวัดผลลัพท์ในการประเมินการให้บริการทางพันธุกรรมคลินิคยังอยู่ในระยะที่เพิ่งเริ่ม แพทย์ได้รับการส่งเสริมให้รับรู้ความเจิญก้าวหน้าและแนวทางคำแนะนำระดับสากล โดยแพทย์แต่ละคนเป็นผู้ให้ความรู้ที่สำคัญของผู้ป่วยและเป็นบุคคลสำคัญของเครือข่ายระบบการส่งต่อสำหรับการดูแลรักษาเฉพาะซึ่งนำมาสู่ความแตกต่างระหว่างโลกของการแพทย์ส่วนบุคคลและโลกของข้อมูลหลักฐานทางการแพทย์
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
Preconception Genetic Screening and Testing
Preimplantation Genetic Screening
Preimplantation Genetic Diagnosis
Prenatal Genetic and Genomic Testing
Noninvasive Prenatal Diagnosis
Newborn Genetic Screening
Newborn Genetic Diagnosis
Direct-to-Consumer Analyses
Genomics and Maternal and Child Health
Conclusions
Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1105043
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
1,469. Screening for prostate cancer
Clinical practice
N Engl J Med November 24, 2011
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของมะเร็งต่อมลูกหมากคือ อายุที่มากขึ้น มีประวัติในครอบครัว กลุ่มชนผิวดำ โดยค่ากลางของอายุที่ได้รับการวินิจฉัยคือที่ 67 ปี และค่ากลางของอายุที่เสียชีวิตคือ 81 ปี จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในผู้ที่มีญาติสายตรงเคยเป็นมาก่อน ในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ชายผิวดำมีอุบัติการณ์สูงที่สุด และมักได้รับการวินิจฉัยเมื่ออยู่ในระยะที่เป็นมากแล้วเมื่อเทียบกับชายเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์อื่น ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 90 % ที่ตรวจพบเกิดจากการตรวจค้นหา(screening) ซึ่งภายหลังมีการใช้ prostate-specific antigen (PSA) การวินิจฉัยเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า จากประมาณ 9% ในปี 1985 เป็น16% ในปี 2007
Key clinical points
-การนำการตรวจ prostate-specific antigen (PSA) มาใช้ พบว่าสามารถให้การวินิจฉัยได้เกือบสองเท่าของความเสี่ยงตลอดชีวิตในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
-สัดส่วนที่มากของการวินิจฉัยโดยการตรวจ PSA ได้รับการพิจารณาว่าสูงมากเกินไปเพราะอาจจะไม่ทำให้เกิดลักษะทางคลินิกตลอดชั่วชีวิต
-ข้อมูลเมื่อเร็วๆ นี้จากการศึกษาแบบ randomized, controlled trials ขนาดใหญ่สองการศึกษา เพื่อการคัดกรองไม่สอดคล้องกัน โดยการศึกษาของยุโรปแสดงให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตลดลงพอสมควร ขณะที่การศึกษาของสหรัฐอเมริกาพบว่าไม่ลดอัตราการเสียชีวิต
-การรักษามะเร็งต่อมลูกหมากสามารถนำมาสู่ภาวะต่างๆ ได้แก่ ปัญหาด้านปัสสาวะ ทางเพศ และการทำงานของระบบขับถ่าย
-การพิจารณาใช้ PSA ควรให้ข้อมูลผู้ป่วยเกี่ยวกับประโยชน์และอันตรายที่อาจเกิดจากการตรวจคัดกรองและการรักษา
Strategies and Evidence
Screening Tests
Potential Benefits of Screening
Potential Harms of Screening
Treatment Trials
Informed Decision Making
Areas of Uncertainty
Guidelines
Conclusions and Recommendations
Source Information
Key Clinical Points
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMcp1103642
N Engl J Med November 24, 2011
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของมะเร็งต่อมลูกหมากคือ อายุที่มากขึ้น มีประวัติในครอบครัว กลุ่มชนผิวดำ โดยค่ากลางของอายุที่ได้รับการวินิจฉัยคือที่ 67 ปี และค่ากลางของอายุที่เสียชีวิตคือ 81 ปี จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในผู้ที่มีญาติสายตรงเคยเป็นมาก่อน ในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ชายผิวดำมีอุบัติการณ์สูงที่สุด และมักได้รับการวินิจฉัยเมื่ออยู่ในระยะที่เป็นมากแล้วเมื่อเทียบกับชายเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์อื่น ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 90 % ที่ตรวจพบเกิดจากการตรวจค้นหา(screening) ซึ่งภายหลังมีการใช้ prostate-specific antigen (PSA) การวินิจฉัยเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า จากประมาณ 9% ในปี 1985 เป็น16% ในปี 2007
Key clinical points
-การนำการตรวจ prostate-specific antigen (PSA) มาใช้ พบว่าสามารถให้การวินิจฉัยได้เกือบสองเท่าของความเสี่ยงตลอดชีวิตในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
-สัดส่วนที่มากของการวินิจฉัยโดยการตรวจ PSA ได้รับการพิจารณาว่าสูงมากเกินไปเพราะอาจจะไม่ทำให้เกิดลักษะทางคลินิกตลอดชั่วชีวิต
-ข้อมูลเมื่อเร็วๆ นี้จากการศึกษาแบบ randomized, controlled trials ขนาดใหญ่สองการศึกษา เพื่อการคัดกรองไม่สอดคล้องกัน โดยการศึกษาของยุโรปแสดงให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตลดลงพอสมควร ขณะที่การศึกษาของสหรัฐอเมริกาพบว่าไม่ลดอัตราการเสียชีวิต
-การรักษามะเร็งต่อมลูกหมากสามารถนำมาสู่ภาวะต่างๆ ได้แก่ ปัญหาด้านปัสสาวะ ทางเพศ และการทำงานของระบบขับถ่าย
-การพิจารณาใช้ PSA ควรให้ข้อมูลผู้ป่วยเกี่ยวกับประโยชน์และอันตรายที่อาจเกิดจากการตรวจคัดกรองและการรักษา
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
The Clinical ProblemStrategies and Evidence
Screening Tests
Potential Benefits of Screening
Potential Harms of Screening
Treatment Trials
Informed Decision Making
Areas of Uncertainty
Guidelines
Conclusions and Recommendations
Source Information
Key Clinical Points
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMcp1103642
วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554
1,410. Genomics and the multifactorial nature of human autoimmune disease
Review article
Genomic medicine
N Engl J Med October 27, 2011
โรคของระบบภูมิคุ้มกันที่สำคัญๆ ได้แก่ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคลูปัส, โรคมัลติเพิลสเคลอโรซีส(multiple sclerosis), เบาหวานชนิดที่ 1, สะเก็ดเงิน, และโรคลำไส้อักเสบ(inflammatory bowel disease) พบมีลักษณะร่วมกันทางระบาดวิทยา-อาการทางคลินิกและการรักษา ซึ่งในโรคต่างๆ เหล่านี้มักจะมีภาวะเรื้อรังและมีการอักเสบเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ตลอดระยะที่มีการทำลายอวัยวะเป้าหมายซึ่งเป็นตำแหน่งที่เกิดการกระตุ้นแอนติเจนหรือเป็นตำแน่งที่มีการสะสมของ immune-complex
โดยบางส่วนของความผิดปกติเหล่านี้เช่น โรคลำไส้อักเสบ กลไกของภูมิคุ้มกันยังเป็นที่สงสัย แต่การทับซ้อนกันของความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมได้รับการอธิบายในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีพยาธิวิทยาของการเกิดที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันร่วมกัน และในช่วงเวลาเดียวกันข้อมูลทางพันธุกรรมก็สนับสนุนว่ามีความแตกต่างกันบางอย่างของพยาธิวิทยาในการเกิดโรคด้วย
ถึงแม้ว่าภูมิคุ้มกันแบบที่มีการปรับตัวหรือแบบที่จำเพาะเจาะจง (adaptive immune system)ของร่างกายได้รับความสนใจและศึกษา แต่กลไกภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติ(innate immune) ก็ได้รับการอธิบายว่าเป็นศูนย์กลางในการก่อให้เกิดความผิดปกติทางพยาธิวิทยาของความผิดปกตินี้
นอกจากนี้แนวคิดเกี่ยวกับระดับปริมาณที่เป็นจุดเริ่มให้เกิดการส่งสัญญาณไปยังภูมิคุ้มกันของเซลล์ได้เกิดขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้สามารถเข้าใจถึงวิธีการที่ปัจจัยทางพันธุกรรมหลายๆ อย่างที่เสมือนว่ามีผลไม่มากแต่อาจรวมกันแล้วก่อให้เกิดความสามารถในการกระตุ้นภาวะภูมิต้านต่อตนเอง
การค้นพบทางด้านพันธุศาสตร์ยังชี้ให้เห็นว่าสภาวะสิ่งแวดล้อมมีบทบาทต่อปัจจัยด้านพันธุกรรมของโฮสต์ซึ่งจะเป็นจุดสำคัญในการเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับภาวะภูมิต้านตนเอง รวมถึงเป็นแนวทางใหม่ๆในการป้องกันและการรักษาด้วย
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
Genetics of Human Autoimmune Disease — The Status Quo
Autoimmunity — A Complex Quantitative Trait
Intracellular Signaling Pathways
Genetic Variation and Cytokine Pathways
Innate Immunity and Microbial Responses
Genes, Environment, and Autoimmunity
Implications of the New Genetics for Diagnosis and Treatment
Source Information
Genomic medicine
N Engl J Med October 27, 2011
โรคของระบบภูมิคุ้มกันที่สำคัญๆ ได้แก่ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคลูปัส, โรคมัลติเพิลสเคลอโรซีส(multiple sclerosis), เบาหวานชนิดที่ 1, สะเก็ดเงิน, และโรคลำไส้อักเสบ(inflammatory bowel disease) พบมีลักษณะร่วมกันทางระบาดวิทยา-อาการทางคลินิกและการรักษา ซึ่งในโรคต่างๆ เหล่านี้มักจะมีภาวะเรื้อรังและมีการอักเสบเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ตลอดระยะที่มีการทำลายอวัยวะเป้าหมายซึ่งเป็นตำแหน่งที่เกิดการกระตุ้นแอนติเจนหรือเป็นตำแน่งที่มีการสะสมของ immune-complex
โดยบางส่วนของความผิดปกติเหล่านี้เช่น โรคลำไส้อักเสบ กลไกของภูมิคุ้มกันยังเป็นที่สงสัย แต่การทับซ้อนกันของความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมได้รับการอธิบายในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีพยาธิวิทยาของการเกิดที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันร่วมกัน และในช่วงเวลาเดียวกันข้อมูลทางพันธุกรรมก็สนับสนุนว่ามีความแตกต่างกันบางอย่างของพยาธิวิทยาในการเกิดโรคด้วย
ถึงแม้ว่าภูมิคุ้มกันแบบที่มีการปรับตัวหรือแบบที่จำเพาะเจาะจง (adaptive immune system)ของร่างกายได้รับความสนใจและศึกษา แต่กลไกภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติ(innate immune) ก็ได้รับการอธิบายว่าเป็นศูนย์กลางในการก่อให้เกิดความผิดปกติทางพยาธิวิทยาของความผิดปกตินี้
นอกจากนี้แนวคิดเกี่ยวกับระดับปริมาณที่เป็นจุดเริ่มให้เกิดการส่งสัญญาณไปยังภูมิคุ้มกันของเซลล์ได้เกิดขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้สามารถเข้าใจถึงวิธีการที่ปัจจัยทางพันธุกรรมหลายๆ อย่างที่เสมือนว่ามีผลไม่มากแต่อาจรวมกันแล้วก่อให้เกิดความสามารถในการกระตุ้นภาวะภูมิต้านต่อตนเอง
การค้นพบทางด้านพันธุศาสตร์ยังชี้ให้เห็นว่าสภาวะสิ่งแวดล้อมมีบทบาทต่อปัจจัยด้านพันธุกรรมของโฮสต์ซึ่งจะเป็นจุดสำคัญในการเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับภาวะภูมิต้านตนเอง รวมถึงเป็นแนวทางใหม่ๆในการป้องกันและการรักษาด้วย
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
Genetics of Human Autoimmune Disease — The Status Quo
Autoimmunity — A Complex Quantitative Trait
Intracellular Signaling Pathways
Genetic Variation and Cytokine Pathways
Innate Immunity and Microbial Responses
Genes, Environment, and Autoimmunity
Implications of the New Genetics for Diagnosis and Treatment
Source Information
วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
1,233. Microbial genomics and infectious diseases
Microbial genomics and infectious diseases
Review article
Genomic medicine
N Engl J Med July 28, 2011
ก้าวแห่งความเจริญทางเทคนิคทางด้านพันธุกรรมของจุลินทรีย์ที่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1995 เมื่อสามารถค้นพบลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมที่สมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สามารถอยู่ได้เป็นอิสระได้ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ Haemophilus influenzae และได้รับการตีพิมพ์
ลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมที่สมบูรณ์ของแบคทีเรียมีจำนวน 1554 ชนิด (ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค) และลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมที่สมบูรณ์ของแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งเป็นแบคทีเรียยุคดั้งเดิมอีกจำนวน 112 ชนิด และยังมีอีกกว่า 4800 ชนิดและ 90 ชนิดตามลำดับของแบคที่เรียทั้งสองชนิดที่กำลังก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
พบว่าสิ่งมีชีวิตประเภทยูคาริโอต(eukaryotic)มี 41 ชนิดที่พบลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมโดยสมบูรณ์ (โดย19 ชนิดเป็นกลุ่มเชื้อรา) และอีกกว่า 1100 ชนิดก็กำลังก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
โดยลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมอ้างอิงที่สมบูรณ์จำนวน 2675 ชนิดของสายพันธุ์ไวรัส โดยพบว่าบางชนิดของสายพันธุ์เหล่านี้ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากกำลังได้รับการถอดรหัสอย่างสมบูรณ์
เกือบ 40,000 สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และกว่า 300,000 สายพันธุ์ของไวรัสโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องของมนุษย์ (เอชไอวี) ชนิด 1(type1) ได้รับการถอดรหัสบางส่วนแล้ว
อย่างไรก็ตามการเลือกเชื้อจุลินทรีย์และไวรัสเพื่อหาลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมพบว่ามีความลำเอียงเป็นอย่างมากเนื่องจากมีจำนวนเพียงน้อยนิดที่สามารถเพาะเชื้อขึ้นได้ในห้องปฏิบัติการ รวมถึงแหล่งที่อยู่อาศัยซึ่งน่าสนใจ (เช่นในร่างกายมนุษย์) และที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
Genomic Diversity
Population Structure, Evolution, and Molecular Epidemiology
Pathogenesis and Symbiosis
The Human Microbiome and Metagenomics
Pathogen Discovery and Diagnostics
Therapeutics and Drug Discovery
Vaccines
Future Directions
Source Information
Review article
Genomic medicine
N Engl J Med July 28, 2011
ก้าวแห่งความเจริญทางเทคนิคทางด้านพันธุกรรมของจุลินทรีย์ที่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1995 เมื่อสามารถค้นพบลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมที่สมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สามารถอยู่ได้เป็นอิสระได้ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ Haemophilus influenzae และได้รับการตีพิมพ์
ลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมที่สมบูรณ์ของแบคทีเรียมีจำนวน 1554 ชนิด (ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค) และลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมที่สมบูรณ์ของแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งเป็นแบคทีเรียยุคดั้งเดิมอีกจำนวน 112 ชนิด และยังมีอีกกว่า 4800 ชนิดและ 90 ชนิดตามลำดับของแบคที่เรียทั้งสองชนิดที่กำลังก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
พบว่าสิ่งมีชีวิตประเภทยูคาริโอต(eukaryotic)มี 41 ชนิดที่พบลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมโดยสมบูรณ์ (โดย19 ชนิดเป็นกลุ่มเชื้อรา) และอีกกว่า 1100 ชนิดก็กำลังก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
โดยลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมอ้างอิงที่สมบูรณ์จำนวน 2675 ชนิดของสายพันธุ์ไวรัส โดยพบว่าบางชนิดของสายพันธุ์เหล่านี้ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากกำลังได้รับการถอดรหัสอย่างสมบูรณ์
เกือบ 40,000 สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และกว่า 300,000 สายพันธุ์ของไวรัสโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องของมนุษย์ (เอชไอวี) ชนิด 1(type1) ได้รับการถอดรหัสบางส่วนแล้ว
อย่างไรก็ตามการเลือกเชื้อจุลินทรีย์และไวรัสเพื่อหาลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมพบว่ามีความลำเอียงเป็นอย่างมากเนื่องจากมีจำนวนเพียงน้อยนิดที่สามารถเพาะเชื้อขึ้นได้ในห้องปฏิบัติการ รวมถึงแหล่งที่อยู่อาศัยซึ่งน่าสนใจ (เช่นในร่างกายมนุษย์) และที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
Genomic Diversity
Population Structure, Evolution, and Molecular Epidemiology
Pathogenesis and Symbiosis
The Human Microbiome and Metagenomics
Pathogen Discovery and Diagnostics
Therapeutics and Drug Discovery
Vaccines
Future Directions
Source Information
วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554
1,111. Inherited cardiomyopathies
Inherited cardiomyopathies
Review Article
Mechanisms of Disease
N Engl J Med April 28, 2011
Cardiomyopathies เป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจในทุกกลุ่มอายุ ซึ่งมักจะเริ่มเกิดในช่วงวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ตอนต้น ไม่เพียงแต่ผู้ป่วยแต่ยังรวมถึงครอบครัวของพวกเขาที่ต้องแบกรับภาระหนักอย่างรุนแรงจากโรคเหล่านี้ กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ยีนเกิดโรคสำหรับ Hypertrophic cardiomyopathy สามารถระบุได้ การค้นพบนี้นำไปสู่แนวคิดที่ว่า Hypertrophic cardiomyopathy เป็นโรคของ sarcomere ซึ่งความก้าวหน้าที่คล้ายกันนี้ได้แสดงให้เห็นพื้นฐานทางพันธุกรรมของ Cardiomyopathy รูปแบบอื่น ๆ รวมทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจอื่น ๆ ที่สืบทอดทางกรรมพันธุ์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะตามมาเร็ว ๆ นี้
การวิเคราะห์แยกยีนของโรคที่สืบทอดทางกรรมพันธุ์ที่มีมากมายนี้ ได้เพิ่มความคาดหวังของการรักษารูปในแบบใหม่ แต่จากประสบการณ์พบว่าการรักษาแบบใหม่ดังกล่าวไม่ค่อยเป็นไปตามที่คาดหวัง แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับ cardiomyopathies บางอย่างที่สืบทอดทางกรรมพันธุ์มีโอกาสเป็นไปได้จริงที่ข้อมูลลึกในระดับโมเลกุลกำลังจะนำไปสู่การรักษาในรูปแบบใหม่
บทความนี้จะเน้นถึงผลการค้นพบเกี่ยวกับกลไกที่ก่อให้เกิด cardiomyopathies ที่จะนำมาใช้ปฏิบัติงานทางคลินิกและเป็นแนวทางสำหรับการค้นหาวิธีการการรักษาต่อไป
บทความนี้มีเนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
-Classification of inherited cardiomyopathies
-Hypertrophic cardiomyopathy, a disease of the sarcomere
-Dilated cardiomyopathy, a final common phenotype with diverse causes
-Arrhythmogenic right ventricular cardiomyopathy, a disease of the desmosome
-Lessons learned from molecular genetic family studies
Incomplete and Age-Related Penetrance
Variable Expressivity
Genetic Heterogeneity and Allelic Disorders
Phenocopies
Genotype–Phenotype Correlations
Nonmendelian Variants and Modifier Effects
-Future Prospects
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra0902923
Review Article
Mechanisms of Disease
N Engl J Med April 28, 2011
Cardiomyopathies เป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจในทุกกลุ่มอายุ ซึ่งมักจะเริ่มเกิดในช่วงวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ตอนต้น ไม่เพียงแต่ผู้ป่วยแต่ยังรวมถึงครอบครัวของพวกเขาที่ต้องแบกรับภาระหนักอย่างรุนแรงจากโรคเหล่านี้ กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ยีนเกิดโรคสำหรับ Hypertrophic cardiomyopathy สามารถระบุได้ การค้นพบนี้นำไปสู่แนวคิดที่ว่า Hypertrophic cardiomyopathy เป็นโรคของ sarcomere ซึ่งความก้าวหน้าที่คล้ายกันนี้ได้แสดงให้เห็นพื้นฐานทางพันธุกรรมของ Cardiomyopathy รูปแบบอื่น ๆ รวมทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจอื่น ๆ ที่สืบทอดทางกรรมพันธุ์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะตามมาเร็ว ๆ นี้
การวิเคราะห์แยกยีนของโรคที่สืบทอดทางกรรมพันธุ์ที่มีมากมายนี้ ได้เพิ่มความคาดหวังของการรักษารูปในแบบใหม่ แต่จากประสบการณ์พบว่าการรักษาแบบใหม่ดังกล่าวไม่ค่อยเป็นไปตามที่คาดหวัง แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับ cardiomyopathies บางอย่างที่สืบทอดทางกรรมพันธุ์มีโอกาสเป็นไปได้จริงที่ข้อมูลลึกในระดับโมเลกุลกำลังจะนำไปสู่การรักษาในรูปแบบใหม่
บทความนี้จะเน้นถึงผลการค้นพบเกี่ยวกับกลไกที่ก่อให้เกิด cardiomyopathies ที่จะนำมาใช้ปฏิบัติงานทางคลินิกและเป็นแนวทางสำหรับการค้นหาวิธีการการรักษาต่อไป
บทความนี้มีเนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
-Classification of inherited cardiomyopathies
-Hypertrophic cardiomyopathy, a disease of the sarcomere
-Dilated cardiomyopathy, a final common phenotype with diverse causes
-Arrhythmogenic right ventricular cardiomyopathy, a disease of the desmosome
-Lessons learned from molecular genetic family studies
Incomplete and Age-Related Penetrance
Variable Expressivity
Genetic Heterogeneity and Allelic Disorders
Phenocopies
Genotype–Phenotype Correlations
Nonmendelian Variants and Modifier Effects
-Future Prospects
Click ที่ภาพเพื่อขยายขนาด
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554
1,087. Alopecia, and photophobia syndrome (IFAP) syndrome, Ichthyosis follicularis
เด็กชาย 5 ปี มีผื่นแต่กำเนิด แต่ชัดที่แขน ขา ตาสู้แสงไม่ได้ ศรีษะมีลักษณะผิดปกติโดยมีผมบางและท้ายทอยดูนูนกว่าปกติ Dx?
ตัวอย่างผื่นที่ขา
Ichthyosis follicularis, alopecia, and photophobia syndrome (IFAP) syndrome.
ถ่ายทอดโดย X-linked recessive ซึ่งพบได้น้อยมากๆ โดยจะพบมีลักษณะ
Ichthyosis follicularis ซึ่งเป็นลักษณะความผิดปกติของการสร้างเคราตินโดยจะมีรูขุมขนนูนเป็นตุ่มหนามเล็กๆได้ทั่วร่างกาย โยเป็นมาแต่กำเนิด และอาจพบว่าไม่มีผม, ขน(atrichia) ตาสู้แสงไม่ได้ อาจมีความผิดปกติรูปร่างลักษณะของเล็บ ซึ่งพบว่าผู้ป่วยมีลักษณะต่างๆ ดังกล่าวที่ว่ามา
หมายเหตุ: ได้ขออนุญาตผู้ปกครองผู้ป่วยในการลงภาพเพื่อการเรียนรู้ทางการแพทย์แล้วครับ
วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554
1,065 Genomics and drug response
Genomics and drug response
Review Article
Genomic Medicine
N Engl J Med March 24, 2011
Pharmacogenomics เป็นการศึกษาบทบาทของยีนทั้งที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธ์และเกิดขึ้นภายหลังในการตอบสนองต่อยา ตัวอย่างของความเกี่ยวข้องของ pharmacogenetic ทางด้านการแพทย์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเมตาโบลิซึมของยา ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันมาหลายทศวรรษแล้ว แต่เมื่อเร็วๆ นี้ งานทางด้าน pharmacogenetics ได้พัฒนาสู่ pharmacogenomics โดยมีการเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นเกี่ยวกับยีนในรายบุคคลมาเป็นการศึกษาถึงเชื่อมโยงของพันธุกรรมที่หลากหลายกับความสัมพันธ์ในการตอบสนองต่อยา(genomewide association studies) เช่นการศึกษาเพื่อการค้นหาสิ่งที่บ่งบอกว่าพันธุกรรมในบุคคลใดที่จะได้รับผลกระทบจากความผิดปกติหรือการแสดงออกในการตอบสนองต่อยา รวมถึงศึกษาในผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างทางพันธุกรรมโดยใช้การศึกษาแบบ case control
ในตัวอย่างนี้เป็นบทความของวารสาร โดย McCormack และคณะ เป็นการทดสอบเพื่อหาความสัมพันธ์ของความเชื่อมโยงทางพันธุกรรม การค้นหาแยกแยะ HLA allele ที่สัมพันธ์กับปฎิกริยาการตอบสนองที่ไวต่อยา carbamazepine ซึ่งเป็นยากันชักและเป็นยาสำหรับรักษาเพื่อควบคุมอารมณ์(mood-stabilizing drug) ในผู้ป่วยชาวยุโรป
โดย Pharmacogenomics ยังช่วยกระตุ้นในการค้นหาตัวบ่งบอกทางชีวภาพ ซึ่งช่วยให้แพทย์เลือกใช้ยาได้เหมาะสมที่สุด รวมถึงขนาดยา ระยะเวลาในการรักษาและผลข้างเคียงจากยา นอกจากนั้น pharmacogenomics สามารถนำมาซึ่งมุมมองใหม่ของกลไกปฎิกิริยาของยา และผลลัพท์ที่สามารถนำมาสู่การพัฒนายาใหม่ๆ เพื่อการรักษา
เนื้อหาเกี่ยวข้องกับ
Cardiovascular Drugs
Agents Used for Infectious Diseases
Antineoplastic Drugs
Aromatase Inhibitors
Clinical Translation
Conclusions
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1010600
Review Article
Genomic Medicine
N Engl J Med March 24, 2011
Pharmacogenomics เป็นการศึกษาบทบาทของยีนทั้งที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธ์และเกิดขึ้นภายหลังในการตอบสนองต่อยา ตัวอย่างของความเกี่ยวข้องของ pharmacogenetic ทางด้านการแพทย์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเมตาโบลิซึมของยา ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันมาหลายทศวรรษแล้ว แต่เมื่อเร็วๆ นี้ งานทางด้าน pharmacogenetics ได้พัฒนาสู่ pharmacogenomics โดยมีการเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นเกี่ยวกับยีนในรายบุคคลมาเป็นการศึกษาถึงเชื่อมโยงของพันธุกรรมที่หลากหลายกับความสัมพันธ์ในการตอบสนองต่อยา(genomewide association studies) เช่นการศึกษาเพื่อการค้นหาสิ่งที่บ่งบอกว่าพันธุกรรมในบุคคลใดที่จะได้รับผลกระทบจากความผิดปกติหรือการแสดงออกในการตอบสนองต่อยา รวมถึงศึกษาในผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างทางพันธุกรรมโดยใช้การศึกษาแบบ case control
ในตัวอย่างนี้เป็นบทความของวารสาร โดย McCormack และคณะ เป็นการทดสอบเพื่อหาความสัมพันธ์ของความเชื่อมโยงทางพันธุกรรม การค้นหาแยกแยะ HLA allele ที่สัมพันธ์กับปฎิกริยาการตอบสนองที่ไวต่อยา carbamazepine ซึ่งเป็นยากันชักและเป็นยาสำหรับรักษาเพื่อควบคุมอารมณ์(mood-stabilizing drug) ในผู้ป่วยชาวยุโรป
โดย Pharmacogenomics ยังช่วยกระตุ้นในการค้นหาตัวบ่งบอกทางชีวภาพ ซึ่งช่วยให้แพทย์เลือกใช้ยาได้เหมาะสมที่สุด รวมถึงขนาดยา ระยะเวลาในการรักษาและผลข้างเคียงจากยา นอกจากนั้น pharmacogenomics สามารถนำมาซึ่งมุมมองใหม่ของกลไกปฎิกิริยาของยา และผลลัพท์ที่สามารถนำมาสู่การพัฒนายาใหม่ๆ เพื่อการรักษา
เนื้อหาเกี่ยวข้องกับ
Cardiovascular Drugs
Agents Used for Infectious Diseases
Antineoplastic Drugs
Aromatase Inhibitors
Clinical Translation
Conclusions
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1010600
วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553
929. Genomics, Type 2 diabetes and obesity
Genomics, Type 2 diabetes and obesity
Review article
Genomic Medicine
N Engl J Med 2010 December 9, 2010
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ถึงแม้จะยังไม่เข้าได้โดยทั้งหมด แต่ทราบกันว่าเป็นโรคที่มีลักษณะการตอบสนองเบต้าเซลล์ไม่เพียงพอกับความต้านทานอินซูลินที่มีมากขึ้น ซึ่งมักจะมาเกิดพร้อมกับอายุที่มากขึ้น การไม่ค่อยได้ออกแรงและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งโรคทำให้เกิดความพิการและการเสียชีวิตจากความเสี่ยงของหลอดเลือดและหัวใจและการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตาบอด ไตวาย อัตรการเพิ่มที่สูงขึ้นทั่วโรคมีความสัมพันธ์กับภาวะอ้วน ผลจากทางสังคมที่มีแนวโน้มของการรับประทานอาหารที่มีพลังงานมากขึ้นและลดการใช้พลังงานในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามกลไกการเกิดดังกล่าวอยู่ขึ้นกับแต่ละบุคคลด้วย ซึ่งมีความแตกต่างของปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะอ้วนและยังคงไม่เป็นที่เข้าใจโดยทั้งหมด
การไม่เข้าใจพยาธิสรีระวิทยาของโรคดังเช่น เบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะอ้วนนี้เป็นอุปสรรคต่อความพยายามที่จะพัฒนาปรับปรุงกลยุทธในการรักษาและให้การป้องกัน การแยกดีเอ็นเอที่มีการแปรเปลี่ยนไปจากเดิม (DNA variants) ซึ่งมีอิทธิพลต่อต่อการเกิดโรค มีความหวังว่าจะเป็นแนวทางสู่กระบวนการที่ทำให้ทราบกลไกการเกิดของโรค ซึ่งไม่เป็นแต่เพียงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแต่ยังเป็นโอกาสให้เกิดการรักษาโดยใช้กลยุทธที่สอดคล้องกับปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคลและยังจะเป็นการจำแนกลักษณะของโรคแยกย่อยลงไปได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้นด้วย
บทความนี้มีเนื้อหาประกอบไปด้วย
Discovery of Susceptibility Genes
From Genes to Clinical Practice
From Genetics to Biology
Prediction and Differential Diagnostics
Targeted Treatment and Prevention
Summary
Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra0906948
Review article
Genomic Medicine
N Engl J Med 2010 December 9, 2010
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ถึงแม้จะยังไม่เข้าได้โดยทั้งหมด แต่ทราบกันว่าเป็นโรคที่มีลักษณะการตอบสนองเบต้าเซลล์ไม่เพียงพอกับความต้านทานอินซูลินที่มีมากขึ้น ซึ่งมักจะมาเกิดพร้อมกับอายุที่มากขึ้น การไม่ค่อยได้ออกแรงและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งโรคทำให้เกิดความพิการและการเสียชีวิตจากความเสี่ยงของหลอดเลือดและหัวใจและการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตาบอด ไตวาย อัตรการเพิ่มที่สูงขึ้นทั่วโรคมีความสัมพันธ์กับภาวะอ้วน ผลจากทางสังคมที่มีแนวโน้มของการรับประทานอาหารที่มีพลังงานมากขึ้นและลดการใช้พลังงานในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามกลไกการเกิดดังกล่าวอยู่ขึ้นกับแต่ละบุคคลด้วย ซึ่งมีความแตกต่างของปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะอ้วนและยังคงไม่เป็นที่เข้าใจโดยทั้งหมด
การไม่เข้าใจพยาธิสรีระวิทยาของโรคดังเช่น เบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะอ้วนนี้เป็นอุปสรรคต่อความพยายามที่จะพัฒนาปรับปรุงกลยุทธในการรักษาและให้การป้องกัน การแยกดีเอ็นเอที่มีการแปรเปลี่ยนไปจากเดิม (DNA variants) ซึ่งมีอิทธิพลต่อต่อการเกิดโรค มีความหวังว่าจะเป็นแนวทางสู่กระบวนการที่ทำให้ทราบกลไกการเกิดของโรค ซึ่งไม่เป็นแต่เพียงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแต่ยังเป็นโอกาสให้เกิดการรักษาโดยใช้กลยุทธที่สอดคล้องกับปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคลและยังจะเป็นการจำแนกลักษณะของโรคแยกย่อยลงไปได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้นด้วย
บทความนี้มีเนื้อหาประกอบไปด้วย
Discovery of Susceptibility Genes
From Genes to Clinical Practice
From Genetics to Biology
Prediction and Differential Diagnostics
Targeted Treatment and Prevention
Summary
Source Information
วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553
842. Ancestry and disease in the age of genomic medicine
Ancestry and disease in the age of genomic medicine
Review article
Genomic medicine
N Engl J Med October14, 2010
ข้อมูลทางพันธุกรรมของมนุษย์ถูกรวบรวมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงที่ผ่านมา และลำดับพันธุกรรมทั้งหมดของบุคคลจากหลายกลุ่มประชากรได้รับการนำเสนอและเผยแพร่ให้รับทราบ ความเจริญก้าวหน้าในความรู้ที่เกี่ยวกับความแตกต่างกันระหว่้างพันธุกรรมของมนุษย์ช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่พบบ่อยๆแต่มีความแตกต่างระหว่างบุคคล และกลุ่มประชากร นอกจากนั้นเรายังสามารถนำความรู้ที่ได้มาใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพและความปอดภัยของยาที่ใช้ในการรักษา จะเห็นได้ว่าความรู้ที่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพื้นฐานของคำถามที่เกี่ยวกับจุด กำเนิด ความแตกต่างและความคล้ายคลึงในด้านการแพทย์
โดยบทความได้นำเสนอเนื้อหาที่กระชับเกี่ยวกับความรู้ที่เป็นปัจจุบันในด้านความหลากหลายหรือความแตกต่างในระหว่างพันธุกรรมของมนุษย์ โดยอธิบายว่าสามารถนำมาสู่ความเข้าใจวิวัฒนาการของมนุษย์ ความเหมือน และความแตกต่างกันทางด้านสุขภาพในกลุ่มประชากรได้อย่างไร
Review article
Genomic medicine
N Engl J Med October14, 2010
ข้อมูลทางพันธุกรรมของมนุษย์ถูกรวบรวมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงที่ผ่านมา และลำดับพันธุกรรมทั้งหมดของบุคคลจากหลายกลุ่มประชากรได้รับการนำเสนอและเผยแพร่ให้รับทราบ ความเจริญก้าวหน้าในความรู้ที่เกี่ยวกับความแตกต่างกันระหว่้างพันธุกรรมของมนุษย์ช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่พบบ่อยๆแต่มีความแตกต่างระหว่างบุคคล และกลุ่มประชากร นอกจากนั้นเรายังสามารถนำความรู้ที่ได้มาใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพและความปอดภัยของยาที่ใช้ในการรักษา จะเห็นได้ว่าความรู้ที่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพื้นฐานของคำถามที่เกี่ยวกับจุด กำเนิด ความแตกต่างและความคล้ายคลึงในด้านการแพทย์
โดยบทความได้นำเสนอเนื้อหาที่กระชับเกี่ยวกับความรู้ที่เป็นปัจจุบันในด้านความหลากหลายหรือความแตกต่างในระหว่างพันธุกรรมของมนุษย์ โดยอธิบายว่าสามารถนำมาสู่ความเข้าใจวิวัฒนาการของมนุษย์ ความเหมือน และความแตกต่างกันทางด้านสุขภาพในกลุ่มประชากรได้อย่างไร
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
747. New therapeutic approaches to Mendelian disorders
New therapeutic approaches to Mendelian disorders
Review article Genomic medicine
N Engl J Med August 26, 2010
ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะพัฒนาการรักษาโรคที่มีลักษณะการถ่ายทอดพันธุกรรมแบบเมนเดเลียน (Mendelian disorder) ซึ่งเป็นเสมือนหน้าทีและเป็นโอกาส ถึงแม้การถ่ายทอดแบบเมนเดเลียนอาจจะดูเหมือนว่าพบได้น้อยถ้าดูในรายบุคคล แต่ถ้าดูในลักษณะภาพรวมแล้วจะเห็นว่าสามารถพบได้ไม่น้อย และสร้างความยุ่งยากแก่ผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เมื่อมองในอีกแง่หนึ่งจะเห็นว่าโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมซึ่งพบได้น้อยก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้าในด้านพันธุศาสตร์ของมนุษย์และการรักษาที่ลึกลงถึงระดับโมเลกุล รวมถึงก่อให้เกิดความกระตือรือร้นในการวิจัยโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม จะพบว่าโดยส่วนใหญ่แล้วยีนเดี่ยวเป็นพื้นฐานของความผิดปกติในโรคที่มีการถ่ายทอดแบบเมนเดเลียน ดังนั้นการเรียนรู้เข้าใจเกียวกับหน่วยของพันธุกรรมหรือยีนจะทำให้สามารถอธิบายลักษณะการแสดงออกของโรคและนำไปสู่ความสำเร็จหรือเป้าหมายของการรักษาได้ รวมทั้งโรคที่มีลักษณะแสดงออกที่พบได้บ่อยๆทั่วไปและโรคที่มีสาเหตุซับช้อน
Compensatory and Salvage Mechanisms of Action of Therapeutic Agents
Review article Genomic medicine
N Engl J Med August 26, 2010
ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะพัฒนาการรักษาโรคที่มีลักษณะการถ่ายทอดพันธุกรรมแบบเมนเดเลียน (Mendelian disorder) ซึ่งเป็นเสมือนหน้าทีและเป็นโอกาส ถึงแม้การถ่ายทอดแบบเมนเดเลียนอาจจะดูเหมือนว่าพบได้น้อยถ้าดูในรายบุคคล แต่ถ้าดูในลักษณะภาพรวมแล้วจะเห็นว่าสามารถพบได้ไม่น้อย และสร้างความยุ่งยากแก่ผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เมื่อมองในอีกแง่หนึ่งจะเห็นว่าโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมซึ่งพบได้น้อยก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้าในด้านพันธุศาสตร์ของมนุษย์และการรักษาที่ลึกลงถึงระดับโมเลกุล รวมถึงก่อให้เกิดความกระตือรือร้นในการวิจัยโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม จะพบว่าโดยส่วนใหญ่แล้วยีนเดี่ยวเป็นพื้นฐานของความผิดปกติในโรคที่มีการถ่ายทอดแบบเมนเดเลียน ดังนั้นการเรียนรู้เข้าใจเกียวกับหน่วยของพันธุกรรมหรือยีนจะทำให้สามารถอธิบายลักษณะการแสดงออกของโรคและนำไปสู่ความสำเร็จหรือเป้าหมายของการรักษาได้ รวมทั้งโรคที่มีลักษณะแสดงออกที่พบได้บ่อยๆทั่วไปและโรคที่มีสาเหตุซับช้อน
Compensatory and Salvage Mechanisms of Action of Therapeutic Agents
เพิ่มเติม: การถ่ายทอดแบบเมนเดเลียน (Mendelian inheritance) เป็นการถ่ายทอดความผิดปกติของพันธุกรรมที่มีลักษณะพิเศษค่อนข้างชัดเจน แบ่งเป็นชนิดย่อย คือ Autosomal dominant, autosomal recessive, และ X-linked inheritance ยกตัวอย่างเช่น ในโรคที่เป็น X-linked มักเกิดในผู้ชายเท่านั้นโดยที่ผู้ชายที่เป็นโรคจะไม่มีบุตรที่เป็นโรคเลย ส่วนผู้หญิงมักเป็นเพียงพาหะ (carrier) ที่จะความเสี่ยงที่จะให้กำเนิดลูกชายที่เป็นโรคที่คาดได้ว่าจะประมาณ 50% เป็นต้น การถ่ายทอดแบบเมนเดเลียนนี้ จะพบเมื่อโรคพันธุกรรมนั้นเกิดจากความผิดปกติของยีนเดี่ยว (single gene disorders) ที่พบได้บ่อยในประเทศไทยได้แก่ โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD เป็นต้น
วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553
610. Genetic disorders of renal phosphate transport
Genetic disorders of renal phosphate transport
Review article mechanisms of disease NEJM June24, 2010
ฟอสเฟตเป็นสารที่มีมากตัวหนึ่งในร่างกายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีส่วนสำคัญมากในการสร้างและสะสมแร่ธาตุของกระดูก และเกี่ยวข้องกับการทำงานของเซล ไตมีหน้าที่หลักในการควบคุมความสมดุลของฟอสเฟต โดยการขับออกทางปัสสาวะเพื่อให้ได้สัดส่วนกับที่รับเข้ามาและเพื่อให้ระดับในเลือดเป็นปกติ ความผิดปกติที่มีผลต่อการขับออกทางปัสสาวะก็จะมีผลต่อระดับของฟอสเฟตในเลือด
อัตราการเสียชีวิตเนื่องจากโรคหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกับความเข้มข้นของฟอสเฟตในเลือดที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 1.13 mmol/liter (3.5 mg/deciliter) ในผู้ที่ไตปกติ ในทางตรงกันข้าม ระดับของฟอสเฟตที่ต่ำจะสัมพันธ์กับการสลายแร่ธาตุในกระดูกและการเพิ่มการขับออกของฟอสเฟตจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่วที่ไต
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาความรู้เกี่ยวกับกลไกของการขนส่งฟอสเฟตของไตพัฒนาขึ้นมาก การขนส่งฟอสเฟตได้ถูกศึกษา โปรตีนที่ควบคุมขบวนการนี้สามารถแยกได้ และยังสามารถแยกฮอร์โมนตัวใหม่อันนำมาสู่การค้นพบ bone–kidney axis การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของโปรตีนนี้ทำให้เกิดการผิดปกติในสมดุลของฟอสเฟต บทความนี้รวบรวมเกี่ยวกับความรู้ระดับโมเลกุลในแง่การดูดซึมของฟอสเฟตที่ไตและลำดับการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของยีนที่เกี่ยวกับสมดุลของฟอสเฟต ส่วนผลจากโรคไตวายเรื้อรังที่มีต่อสมดุลของฟอสเฟตและบทบาทของ fibroblast growth factor 23 (FGF-23)–klotho axis จะนำมากล่าวในเร็วๆนี้
วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553
408. Waardenburg syndrome
ชาย 22 ปี มาตรวจด้วยผื่นที่ใบหน้าแต่ตรวจเจอตาสีฟ้า และลักษณะต่างๆ ดังนี้ มี syndrome อะไรอธิบายลักษณะที่เห็น


ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ:
สงสัย Waardenburg Syndrome
Major criteria:
Born deaf or hard of hearing (congenital sensorineural hearing loss) (58% of individuals)
Brilliant sapphire blue eyes or two different color eyes
White lock of hair on the forehead
Immediate family member with Waardenburg syndrome
Inner corner of the eye displaced to the side (dystopia canthorum)
Minor criteria:
Patches of light or white skin
Eyebrows extending toward middle of face
Nose abnormalities
Premature graying of the hair (by age 30)
Waardenburg syndrome type 2 is defined as having all the features of type 1 except dystopia canthorum. 77% of individuals with type 2 have hearing loss.
และสามารถพบ Hand และ finger contractures ได้
แต่ในผู้ป่วยไม่ได้ตรวจเรื่อง hearing loss ซึ่งถ้า mild hearing loss อาจจะต้องตรวจโดยละเอียด
http://rarediseases.about.com/cs/waardenburgsynd/a/030704.htm
วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
347. Osteogenesis imperfecta
เด้กชาย 3 ขวบมีปัญหา fracture บ่อย ตรวจพบดัง คิดถึงอะไร
Osteogenesis imperfecta (OI) เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal dominant ซึ่งโรคนี้มีหลาย type แต่ type ที่พบได้บ่อยที่สุดคือ type I ซึ่งเกิดจาก mutation ของยีนที่ควบคุมการสร้างโปรตีน collagen (ie, COL1A1 and COL1A2) ซึ่งอยู่บนโครโมโซมคู่ที่ 7 โดยอุบัติการณ์ของโรค osteogenesis imperfecta type I นั้นประมาณ 1 : 15000
เนื่องจากโปรตีน collagen เป็นองค์ประกอบของกระดูก ดังนั้นเด็กที่เป็นโรคนี้มักจะมีกระดูกแตกหักบ่อยครั้ง (multiple bone fracture) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองหรือเกิดหลังการกระทบกระแทกเพียงเล็กน้อย เพราะกระดูกผู้ป่วยจะเปราะบาง (brittle) กว่าปกติ
สามารถแบ่งได้เป็น 4 types ได้แก่
Type I - Mild forms
Type II - Extremely severe
Type III - Severe
Type IV - Undefined
และจากรูปพบว่าผู้ป่วย มี blue sclera นอกจากนั้นผู้ป่วยจะมีอาการอีกหลายอย่างแตกต่างตาม type อ่านเพิ่มตาม link ครับ
http://74.125.153.132/search?q=cache:r_IceSBHTFwJ:emedicine.medscape.com/article/947588-overview+osteogenic+imperfecta&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th

เนื่องจากโปรตีน collagen เป็นองค์ประกอบของกระดูก ดังนั้นเด็กที่เป็นโรคนี้มักจะมีกระดูกแตกหักบ่อยครั้ง (multiple bone fracture) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองหรือเกิดหลังการกระทบกระแทกเพียงเล็กน้อย เพราะกระดูกผู้ป่วยจะเปราะบาง (brittle) กว่าปกติ
สามารถแบ่งได้เป็น 4 types ได้แก่
Type I - Mild forms
Type II - Extremely severe
Type III - Severe
Type IV - Undefined
และจากรูปพบว่าผู้ป่วย มี blue sclera นอกจากนั้นผู้ป่วยจะมีอาการอีกหลายอย่างแตกต่างตาม type อ่านเพิ่มตาม link ครับ
http://74.125.153.132/search?q=cache:r_IceSBHTFwJ:emedicine.medscape.com/article/947588-overview+osteogenic+imperfecta&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553
267.ชาย 14 ปี มือและเท้าผิดรูปแต่กำเนิด มีประวัติชัก
ชาย 14 ปี มือและเท้าผิดรูปแต่กำเนิด [มือ 2 ข้างผ่าตัดแล้ว] มีประวัติชัก ปัจจุบันยังรับประทานยากันชัก คิดถึงโรคอะไร


Apert syndrome มีลักษณะความผิดปกติของ craniofacial (ศีรษะและใบหน้า) และแขนขาเนื่องจากความผิดปกติของพันธุกรรมบนโครโมโซมที่ 10 (98 %ของผู้ป่วย), มักไม่มีประวัติการเกิดโรคในครอบครัว สามารถเกิดได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง จะมีลักษณะของ craniosynostosis, midface hypoplasia, syndactyly, cervical spinal fusion วินิจฉัยจากลักษณะทางคลินิก ให้การรักษาโดยการผ่าตัดแก้ไขในแต่ละปัญหาของผู้ป่วย
ลักษณะของใบหน้าผู้ป่วยที่เป็น Apert syndrome


Apert syndrome มีลักษณะความผิดปกติของ craniofacial (ศีรษะและใบหน้า) และแขนขาเนื่องจากความผิดปกติของพันธุกรรมบนโครโมโซมที่ 10 (98 %ของผู้ป่วย), มักไม่มีประวัติการเกิดโรคในครอบครัว สามารถเกิดได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง จะมีลักษณะของ craniosynostosis, midface hypoplasia, syndactyly, cervical spinal fusion วินิจฉัยจากลักษณะทางคลินิก ให้การรักษาโดยการผ่าตัดแก้ไขในแต่ละปัญหาของผู้ป่วย
ลักษณะของใบหน้าผู้ป่วยที่เป็น Apert syndrome

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)