Review Article
Global Health
N Engl J Med 2013 October 3, 2013
โรคไม่ติดต่อ,ความเด่นในด้านความท้าทายต่อสุขภาพของประชาชนทั่วโลกในศตวรรษที่ 21 การป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเนื่องจากโรคไม่ติดต่อและการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้องจะเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายสุขภาพ การปรับปรุงการตรวจค้นหา, การรักษาและภาวะแทรกซ้อนของโรคโรคไม่ติดต่อ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จะเป็นเป้าหมายที่สำคัญทางคลินิก
มีวิธีการหลายระดับในการนำมาบูรณาการการดำเนินนโยบาย การควบคุม สุขศึกษาด้านสุขภาพ และระบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ซึ่งจะเป็นพันธกิจของสุขภาพของประชาชน
ทุกประเทศจะได้รับประโยชน์ด้วยการแบ่งปันประสบการณ์และความเชี่ยวชาญร่วมกันในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Disease and Economic Burdens
Disease Burden
Economic Effects
Prevalence of Risk Factors
The “Unfinished Agenda” and Noncommunicable Diseases
-Trends in High-Income Countries
-Strategies for Prevention and Control
-Challenges to Health Systems
-Conclusions
-Source Information
อ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1109345
เพื่อการเรียนรู้ medicine และสุขภาพที่ดีของประชาชน (community hospital) * เดิมคือ Phimaimedicine.blogspot.com * ตอนนี้มาปฏิบัติงานอยู่ที่ รพ. ขนอม นครศรีธรรมราชครับ
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Mechanisms of disease แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Mechanisms of disease แสดงบทความทั้งหมด
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
2,393 Mechanisms of Hypoglycemia-Associated Autonomic Failure in Diabetes
Mechanisms of Disease
N Engl J Med July 25, 2013
กุญแจสำคัญของ Hypoglycemia-Associated Autonomic Failure (HAAF) เป็นการตอบสนองที่ลดลงต่อระบบซิมพาเทติก-อะดรีนัล (sympathoadrenal) จากการมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งมักเกิดจากการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน
ในบริบทของการขาดซึ่งการลดลงของอินซูลินและการขาดซึ่งการเพิ่มขึ้นของกลูคากอนน่าเชื่อได้ว่าอาจจะนำมาสู่ความล้มเหลวของเบต้าเซล การลดลงของการตอบสนองต่ออีพิเนฟฟรินทำให้การควบคุมแบบตรงข้ามกัน (counterregulation) ของกลูโคสบกพร่อง
การลดลงของการตอบสนองของเครือข่ายระบบประสาทซิมพาเทติค (sympathetic neural) เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่ามีน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia unawareness)
ซึ่งกลไกที่แน่นอนของการตอบสนองที่ลดลง sympathoadrenal ยังไม่เป็นที่ทราบ แต่มีข้อมูลพอจะเป็นสิ่งบ่งชี้ โดยมีหลักฐานที่แสดงว่ายาที่เรามีอยู่อาจจะช่วยลดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่เกิดจากการรักษา (iatrogenic hypoglycemia) ได้ และแลคเตทสามารถมีผลต่อเมตาโบลิซึมของสมองในแนวคิดที่ไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายของสมองในพยาธิสรีระวิทยาของการเกิด HAAF
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Compromised Defenses against Hypoglycemia
Loss of Insulin and Glucagon Responses
Attenuation of Sympathoadrenal Responses
-Summary
-Source Information
อ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1215228
N Engl J Med July 25, 2013
ในบริบทของการขาดซึ่งการลดลงของอินซูลินและการขาดซึ่งการเพิ่มขึ้นของกลูคากอนน่าเชื่อได้ว่าอาจจะนำมาสู่ความล้มเหลวของเบต้าเซล การลดลงของการตอบสนองต่ออีพิเนฟฟรินทำให้การควบคุมแบบตรงข้ามกัน (counterregulation) ของกลูโคสบกพร่อง
การลดลงของการตอบสนองของเครือข่ายระบบประสาทซิมพาเทติค (sympathetic neural) เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่ามีน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia unawareness)
ซึ่งกลไกที่แน่นอนของการตอบสนองที่ลดลง sympathoadrenal ยังไม่เป็นที่ทราบ แต่มีข้อมูลพอจะเป็นสิ่งบ่งชี้ โดยมีหลักฐานที่แสดงว่ายาที่เรามีอยู่อาจจะช่วยลดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่เกิดจากการรักษา (iatrogenic hypoglycemia) ได้ และแลคเตทสามารถมีผลต่อเมตาโบลิซึมของสมองในแนวคิดที่ไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายของสมองในพยาธิสรีระวิทยาของการเกิด HAAF
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Compromised Defenses against Hypoglycemia
Loss of Insulin and Glucagon Responses
Attenuation of Sympathoadrenal Responses
-Summary
-Source Information
อ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1215228
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
2,322 Mechanisms of acute coronary syndromes and their implications for therapy
Review article
Mechanism of disease
N Engl J Med May 23, 2013
ร่องรอยของการมีหลอดเลือดแดงแข็งตัว (atherosclerotic lesions) ในมนุษย์ โดยทั่วไปแล้วจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงเวลาเป็นปีจนถึงเป็นสิบปี ซึ่งเป็นการฟักตัวของโรคที่ยาวนานโรคหนึ่งของโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในมนุษย์ แม้จะมีความเรื้อรังของหลอดเลือดแดงแข็งตัว แต่ภาวะแทรกซ้อนของการมีลิ่มเลือดอุดตัน (thrombotic) ที่น่ากลัวมากที่สุดทางคลินิกของโรคนี้จะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและมักจะเกิดโดยไม่มีการเตือน
ความคุ้นเคยของเรากับโรคได้ทำให้เรายอมรับสิ่งที่ขัดแย้งกันในตัวเองดังกล่าวโดยไม่ต้องสงสัย และอะไรคือกลไกของสิ่งที่อธิบายการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจากโรคหัวใจขาดเลือดที่มีอาการคงที่ (stable ischemic heart disease) หรือหลอดเลือดแดงแข็งตัวที่ไม่มีอาการไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน?
บทความนี้ตรวจสอบความเข้าใจของเราที่มีในปัจจุบันเกี่ยวกับกลไกพื้นฐานของอาการเหล่านี้
ซึ่งตามมุมมองแบบเดิม การตีบแคบที่เพิ่มขึ้นของหลอดเลือดหัวใจที่มีการแข็งตัวเกิดจากการที่กลุ่มก้อนเกล็ดเลือดขนาดเล็กที่สามารถเกิดการอุดตันได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นภาวะแทรกซ้อนของการอุดตันของลิ่มเลือดตีบอย่างรุนแรงจะทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดหยุด และเป็นสาเหตุของกล้ามเนื้อหัวใจตาย ST-segment elevation ส่วนกลุ่มโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลันที่ไม่มี ST-segment elevation จะเป็นผลมาจากการอุดตันแบบไม่สมบูรณ์หรือที่เกิดขึ้นชั่วคราวของหลอดเลือดซึ่งมีรอยโรคที่มีการตีบแคบอย่างมาก
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Pathogenesis of Acute Coronary Syndromes
-Thrombotic Complications of Atherosclerosis
-Inflammation, Collagen Metabolism, and Plaque Rupture and Thrombosis
-Superficial Erosion of Plaques
-Therapeutic Implications of New Mechanistic Insights
-Summary
-Source Information
อ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1216063
Mechanism of disease
N Engl J Med May 23, 2013
ร่องรอยของการมีหลอดเลือดแดงแข็งตัว (atherosclerotic lesions) ในมนุษย์ โดยทั่วไปแล้วจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงเวลาเป็นปีจนถึงเป็นสิบปี ซึ่งเป็นการฟักตัวของโรคที่ยาวนานโรคหนึ่งของโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในมนุษย์ แม้จะมีความเรื้อรังของหลอดเลือดแดงแข็งตัว แต่ภาวะแทรกซ้อนของการมีลิ่มเลือดอุดตัน (thrombotic) ที่น่ากลัวมากที่สุดทางคลินิกของโรคนี้จะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและมักจะเกิดโดยไม่มีการเตือน
ความคุ้นเคยของเรากับโรคได้ทำให้เรายอมรับสิ่งที่ขัดแย้งกันในตัวเองดังกล่าวโดยไม่ต้องสงสัย และอะไรคือกลไกของสิ่งที่อธิบายการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจากโรคหัวใจขาดเลือดที่มีอาการคงที่ (stable ischemic heart disease) หรือหลอดเลือดแดงแข็งตัวที่ไม่มีอาการไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน?
บทความนี้ตรวจสอบความเข้าใจของเราที่มีในปัจจุบันเกี่ยวกับกลไกพื้นฐานของอาการเหล่านี้
ซึ่งตามมุมมองแบบเดิม การตีบแคบที่เพิ่มขึ้นของหลอดเลือดหัวใจที่มีการแข็งตัวเกิดจากการที่กลุ่มก้อนเกล็ดเลือดขนาดเล็กที่สามารถเกิดการอุดตันได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นภาวะแทรกซ้อนของการอุดตันของลิ่มเลือดตีบอย่างรุนแรงจะทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดหยุด และเป็นสาเหตุของกล้ามเนื้อหัวใจตาย ST-segment elevation ส่วนกลุ่มโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลันที่ไม่มี ST-segment elevation จะเป็นผลมาจากการอุดตันแบบไม่สมบูรณ์หรือที่เกิดขึ้นชั่วคราวของหลอดเลือดซึ่งมีรอยโรคที่มีการตีบแคบอย่างมาก
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Pathogenesis of Acute Coronary Syndromes
-Thrombotic Complications of Atherosclerosis
-Inflammation, Collagen Metabolism, and Plaque Rupture and Thrombosis
-Superficial Erosion of Plaques
-Therapeutic Implications of New Mechanistic Insights
-Summary
-Source Information
อ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1216063
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556
2,243 The pathogenesis of the antiphospholipid syndrome
Review article
Mechanism of disease
N Engl J Med March 14, 2013
Antiphospholipid syndrome เป็นความผิดปกติของ prothrombotic ที่สามารถส่งผลต่อทั้งระบบใหลเวียนของหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดง โดยหลอดเลือดดำชั้นลึกของขาและหลอดเลือดแดงในสมองเป็นตำแหน่งที่พบได้บ่อยที่สุดของการตีบในหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม เนื้อเยื่อต่างๆ หรืออวัยวะที่มีเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงสามารถได้รับผลกระทบ
Catastrophic antiphospholipid syndrome มีลักษณะของการอุดตันในหลอดเลือดขนาดเล็กจำนวนมากและนำไปสู่การล้มเหลวของอวัยะหลายส่วน (multiorgan failure) และมีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเกิดขึ้นในกลุ่มย่อยเล็กๆ ของผู้ป่วย
ในสถานการณ์ที่ใช้การยืนยันโดยจุลพยาธิวิทยา การตีบของหลอดเลือดควรจะเกิดขึ้นโดยไม่มีหลักฐานของการอักเสบในผนังหลอดเลือด ลักษณะทางคลินิกอื่น ๆ ที่สำคัญของ antiphospholipid syndrome คือในด้านสูติศาสตร์ ซึ่งรวมถึงการเสียชีวิตของทารกที่อยู่ในครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 10 สัปดาห์ตั้งแต่หนึ่งครั้งขึ้นไปโดยไม่่่สามารถอธิบายสาเหตุได้, ในทารกที่มีรูปร่างปกติปกติซึ่งคลอดก่อนอายุครรภ์ 34 สัปดาห์ตั้งแต่หนึ่งครั้งขึ้นไปอันเนื่องมาจากทั้ง eclampsia หรือ severe preeclampsia, และการแท้งก่อนสัปดาห์ที่ 10 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดขึ้นเองอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สามครั้งขึ้นโดยไม่สามารถอธิบายสาเหตุได้
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Role of autoantibodies with lupus-anticoagulant activityu
-Thrombotic mechanism
Post-Translational Redox Modifications of β2-Glycoprotein I
Conformations of β2-Glycoprotein I
Triggers of Thrombosis
Endothelial Nitric Oxide Synthase
Endothelial Cells and Monocytes
Tissue Factor
Factor XI
Platelets
Annexin A5 Anticoagulant Shield and Hydroxychloroquine
Complement and Neutrophils
Disturbance of Innate Immunity
-Source information
อ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1112830
Mechanism of disease
N Engl J Med March 14, 2013
Antiphospholipid syndrome เป็นความผิดปกติของ prothrombotic ที่สามารถส่งผลต่อทั้งระบบใหลเวียนของหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดง โดยหลอดเลือดดำชั้นลึกของขาและหลอดเลือดแดงในสมองเป็นตำแหน่งที่พบได้บ่อยที่สุดของการตีบในหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม เนื้อเยื่อต่างๆ หรืออวัยวะที่มีเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงสามารถได้รับผลกระทบ
Catastrophic antiphospholipid syndrome มีลักษณะของการอุดตันในหลอดเลือดขนาดเล็กจำนวนมากและนำไปสู่การล้มเหลวของอวัยะหลายส่วน (multiorgan failure) และมีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเกิดขึ้นในกลุ่มย่อยเล็กๆ ของผู้ป่วย
ในสถานการณ์ที่ใช้การยืนยันโดยจุลพยาธิวิทยา การตีบของหลอดเลือดควรจะเกิดขึ้นโดยไม่มีหลักฐานของการอักเสบในผนังหลอดเลือด ลักษณะทางคลินิกอื่น ๆ ที่สำคัญของ antiphospholipid syndrome คือในด้านสูติศาสตร์ ซึ่งรวมถึงการเสียชีวิตของทารกที่อยู่ในครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 10 สัปดาห์ตั้งแต่หนึ่งครั้งขึ้นไปโดยไม่่่สามารถอธิบายสาเหตุได้, ในทารกที่มีรูปร่างปกติปกติซึ่งคลอดก่อนอายุครรภ์ 34 สัปดาห์ตั้งแต่หนึ่งครั้งขึ้นไปอันเนื่องมาจากทั้ง eclampsia หรือ severe preeclampsia, และการแท้งก่อนสัปดาห์ที่ 10 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดขึ้นเองอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สามครั้งขึ้นโดยไม่สามารถอธิบายสาเหตุได้
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Role of autoantibodies with lupus-anticoagulant activityu
-Thrombotic mechanism
Post-Translational Redox Modifications of β2-Glycoprotein I
Conformations of β2-Glycoprotein I
Triggers of Thrombosis
Endothelial Nitric Oxide Synthase
Endothelial Cells and Monocytes
Tissue Factor
Factor XI
Platelets
Annexin A5 Anticoagulant Shield and Hydroxychloroquine
Complement and Neutrophils
Disturbance of Innate Immunity
-Source information
อ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1112830
วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
2,214 ขบวนการกินตัวเองของเซล (autophagy) กับสภาวะสุขภาพและโรคในมนุษย์
Review article
Mechanism of disaese
Autophagy in human health and disease
N Engl J Med February 14, 2013
การรวมเข้าด้วยกันของขบวนการทางด้านชีววิทยาและสรีรวิทยา เช่น ขบวนการอักเสบ, การตายของเซลล์แบบที่มีการตั้งโปรแกรมไว้แล้ว (apoptosis), การแบ่งตัวของเซล, การเปลี่ยนแปลงตัวเองของเซล และขบวนการเมตาโบลิซึมสามารถมีอิทธิพลต่อโรคในมนุษย์ ซึ่งความเข้าใจเกี่ยวกับเซลและพื้นฐานทางด้านโมเลกุลของขบวนการเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อกำหนดการวินิจฉัยและเป้าของการรักษาใหม่ๆ โดยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ความสนใจในการระบุถึงกลไกพื้นฐานของเซลที่เกี่ยวกับรูปแบบของการกินตัวเองของเซลที่เรียกว่า autophagy (“self-eating”) และบทบาทที่เกี่ยวกับสุขภาพและโรคในมนุษย์ได้กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น
Macroautophagy (ซึ่งต่อจากนี้จะหมายถึง autophagy) เป็นขบวนการของภาวะสมดุลของเซลที่เกิดขึ้นในยูคาลิโอติคเซล (eukaryotic cells) ทุกชนิด และเกี่ยวข้องกับการแยกตัว (sequestration) ของส่วนประกอบในไซโตพลาสซึมที่อยู่ใน autophagosomes ที่มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น (double-membraned autophagosomes) โดยautophagosomes นี้จะรวมเข้ากับไลโซโซม ในขณะที่สิ่งซึ่งบรรจุอยู่ภายในจะเกิดการสลายตัว (degradation) โดย lysosomal acid hydrolases และสิ่งที่อยู่ภายใน autolysosome จะถูกปลดปล่อยออกเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ (recycling) สามารถดูรูปเพื่อเพิ่มความเข้าใจได้จากในอ้างอิงนะครับ ซึ่งในขณะนี้ autophagy มีความเกี่ยวข้องอย่างกว้างกับขบวนการพยาธิสรีรวิทยา (เช่น มะเร็ง, เมตาโบลิคและความผิดปกติที่เกี่ยวกับความเสื่อมสลายของระบบประสาท, โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคปอด) และในการตอบสนองทางสรีรวิทยาต่อการออกกำลังกายและความชรา
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Molecular Regulation of Autophagy
-Functions of Autophagy
-Autophagy in Disease
Cancer
Neurodegenerative Diseases
Infectious Diseases
Cardiovascular Diseases
Metabolic Diseases
Pulmonary Diseases
Aging
Autophagy in Clinical Applications
-Source Information
Ref: http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1205406
Mechanism of disaese
Autophagy in human health and disease
N Engl J Med February 14, 2013
การรวมเข้าด้วยกันของขบวนการทางด้านชีววิทยาและสรีรวิทยา เช่น ขบวนการอักเสบ, การตายของเซลล์แบบที่มีการตั้งโปรแกรมไว้แล้ว (apoptosis), การแบ่งตัวของเซล, การเปลี่ยนแปลงตัวเองของเซล และขบวนการเมตาโบลิซึมสามารถมีอิทธิพลต่อโรคในมนุษย์ ซึ่งความเข้าใจเกี่ยวกับเซลและพื้นฐานทางด้านโมเลกุลของขบวนการเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อกำหนดการวินิจฉัยและเป้าของการรักษาใหม่ๆ โดยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ความสนใจในการระบุถึงกลไกพื้นฐานของเซลที่เกี่ยวกับรูปแบบของการกินตัวเองของเซลที่เรียกว่า autophagy (“self-eating”) และบทบาทที่เกี่ยวกับสุขภาพและโรคในมนุษย์ได้กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น
Macroautophagy (ซึ่งต่อจากนี้จะหมายถึง autophagy) เป็นขบวนการของภาวะสมดุลของเซลที่เกิดขึ้นในยูคาลิโอติคเซล (eukaryotic cells) ทุกชนิด และเกี่ยวข้องกับการแยกตัว (sequestration) ของส่วนประกอบในไซโตพลาสซึมที่อยู่ใน autophagosomes ที่มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น (double-membraned autophagosomes) โดยautophagosomes นี้จะรวมเข้ากับไลโซโซม ในขณะที่สิ่งซึ่งบรรจุอยู่ภายในจะเกิดการสลายตัว (degradation) โดย lysosomal acid hydrolases และสิ่งที่อยู่ภายใน autolysosome จะถูกปลดปล่อยออกเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ (recycling) สามารถดูรูปเพื่อเพิ่มความเข้าใจได้จากในอ้างอิงนะครับ ซึ่งในขณะนี้ autophagy มีความเกี่ยวข้องอย่างกว้างกับขบวนการพยาธิสรีรวิทยา (เช่น มะเร็ง, เมตาโบลิคและความผิดปกติที่เกี่ยวกับความเสื่อมสลายของระบบประสาท, โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคปอด) และในการตอบสนองทางสรีรวิทยาต่อการออกกำลังกายและความชรา
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Molecular Regulation of Autophagy
-Functions of Autophagy
-Autophagy in Disease
Cancer
Neurodegenerative Diseases
Infectious Diseases
Cardiovascular Diseases
Metabolic Diseases
Pulmonary Diseases
Aging
Autophagy in Clinical Applications
-Source Information
Ref: http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1205406
วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556
2,195 Proteotoxicity and Cardiac Dysfunction — Alzheimer's Disease of the Heart?
Review article
Mechanism of disease
N Engl J Med January 31, 2013
ภาวะธำรงดุลของโปรตีนมีบทบาทในการเกิดความผิดปกติต่างๆ ได้จำนวนมาก Misfolded proteins เป็นศูนย์กลางของพยาธิสรีรวิทยาของโรคความเสื่อมของเนื้อเยื่อระบบประสาทและสมอง (neurodegenerative diseases) เช่นโรคฮันติงตัน โรคพาร์กินสันและโรคอัลไซเมอร์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา misfolded proteins ได้รับการพบว่ามีบทบาทสำคัญในพยาธิสรีรวิทยาของโรคหัวใจที่พบบ่อยของมนุษย์เช่น cardiac hypertrophy, cardiac dilated และ ischemic cardiomyopathies นำไปสู่ข้อเสนอแนะว่า misfolded proteins เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
ในการทบทวนนี้ จะตรวจสอบถึงสิ่งที่ทำให้โปรตีนมีโครงสร้างเปลี่ยนไปแล้วนำมาสู่พยาธิสรีรวิทยาของโรคหัวใจ, การอธิบายว่าทำไมโปรตีนเหล่านี้กลายเป็นโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลง และทำไมระบบการตอบสนองของภูมิคุ้มกันแต่กําเนิดจึงมักจะไม่สามารถกำจัดสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งอภิปรายถึงความรู้ที่ได้รับจากการศึกษา protein misfolding ในโรคอื่น ๆ เช่นโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งอาจช่วยให้เราเข้าใจกลไกพยาธิสรีรวิทยาของโรคหัวใจและการพัฒนาการรักษาใหม่ๆ ที่มุ่งเน้นการป้องกันหรือการย้อนกลับของ protein misfolding ในหัวใจ
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Protein Quality Control in the Heart
Molecular Chaperones as Regulators of Protein Synthesis and Folding
The Ubiquitin–Proteasome System and the Process of Autophagy
-Protein Aggregation in the Heart
Proteotoxicity
Proteotoxicity in Heart Failure
Proteotoxicity in Hereditary Cardiac Disease
-Therapeutic Implications
Increasing the Expression of Small HSPS in Cardiac Disease
Exercise
Novel Therapies for Diseases Associated with Misfolded Proteins
-Conclusions and Future Directions
-Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1106180
Mechanism of disease
N Engl J Med January 31, 2013
ภาวะธำรงดุลของโปรตีนมีบทบาทในการเกิดความผิดปกติต่างๆ ได้จำนวนมาก Misfolded proteins เป็นศูนย์กลางของพยาธิสรีรวิทยาของโรคความเสื่อมของเนื้อเยื่อระบบประสาทและสมอง (neurodegenerative diseases) เช่นโรคฮันติงตัน โรคพาร์กินสันและโรคอัลไซเมอร์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา misfolded proteins ได้รับการพบว่ามีบทบาทสำคัญในพยาธิสรีรวิทยาของโรคหัวใจที่พบบ่อยของมนุษย์เช่น cardiac hypertrophy, cardiac dilated และ ischemic cardiomyopathies นำไปสู่ข้อเสนอแนะว่า misfolded proteins เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
ในการทบทวนนี้ จะตรวจสอบถึงสิ่งที่ทำให้โปรตีนมีโครงสร้างเปลี่ยนไปแล้วนำมาสู่พยาธิสรีรวิทยาของโรคหัวใจ, การอธิบายว่าทำไมโปรตีนเหล่านี้กลายเป็นโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลง และทำไมระบบการตอบสนองของภูมิคุ้มกันแต่กําเนิดจึงมักจะไม่สามารถกำจัดสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งอภิปรายถึงความรู้ที่ได้รับจากการศึกษา protein misfolding ในโรคอื่น ๆ เช่นโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งอาจช่วยให้เราเข้าใจกลไกพยาธิสรีรวิทยาของโรคหัวใจและการพัฒนาการรักษาใหม่ๆ ที่มุ่งเน้นการป้องกันหรือการย้อนกลับของ protein misfolding ในหัวใจ
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
-Protein Quality Control in the Heart
Molecular Chaperones as Regulators of Protein Synthesis and Folding
The Ubiquitin–Proteasome System and the Process of Autophagy
-Protein Aggregation in the Heart
Proteotoxicity
Proteotoxicity in Heart Failure
Proteotoxicity in Hereditary Cardiac Disease
-Therapeutic Implications
Increasing the Expression of Small HSPS in Cardiac Disease
Exercise
Novel Therapies for Diseases Associated with Misfolded Proteins
-Conclusions and Future Directions
-Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1106180
วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555
2,144 Purinergic signaling during inflammation
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med December 13, 2012
พิวรีนเป็นสารที่มีโมเลกุลเป็นวง (cyclic) และมีสมบัติเป็นอะโรมาติก (heterocyclic aromatic molecules) ซึ่งอยู่ในหมู่สารชีวเคมีที่เก่าแก่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการวิวัฒนาการ purine nucleotide adenosine triphosphate (ATP) เป็นพลังงานหมุนเวียนของปฏิกิริยาทางชีววิทยาโดทั่วไปภายในเซลสิ่งมีชีวิตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
โดยได้มีการตรวจสอบบทบาทของพิวรีนซึ่งเป็นสัญญาณของโมเลกุลภายนอกเซล ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ ATP, adenosine diphosphate (ADP) และ adenosine
มีการรายงานเกี่ยวกับ purinergic signaling ครั้งแรกในปี1929, เมื่อนักวิทยาศาสตร์ฉีดสารสกัดจากเนื้อเยื่อหัวใจเข้าเส้นเลือดดำในสัตว์ที่ปกติเและสังเกตพบว่าอัตราการเต้นหัวใจช้าลงชั่วคราว ซึ่งนัวิทยาศาสตร์ได้ระบุต่อมาว่าสารทางชีววิทยาดังกล่าวเป็นสารประกอบ adenine, การเกิดการปิดกั้นกระแสไฟฟ้าหัวใจ
(heart block) ซึ่งมีการชักนำโดยการฉีดยา adenosine ทางหลอดเลือดดำยังคงมีความสำคัญในการประยุกต์ใช้ purinergic signaling ในทางคลินิก
การวิจัยเพิ่มเติมในทศวรรษที่ผ่านมาได้นำไปสู่การค้นพบของผลทางชีววิทยาหลายอย่างของ ATP, ADP, และ adenosine signaling สารสื่อกลางเหล่านี้ทำงานผ่านการกระตุ้นของ G-protein–coupled หรือ ligand-gated ion-channel receptors
Adenosine ได้มาจาก ATP และ ADP โดยผ่านปฏฺกิริยาของเอนไซม์ที่อยู่บนพื้นผิวเซลล์ รวมทั้งยังมีการแสดงออกของตัวรับสำหรับสารสื่อกลางเหล่านี้ โดยที่ตัวรับของ ATP และ ADP และตัวรับของ adenosine มักจะก่อให้เกิดผลที่ตรงข้ามกัน ผลของการตอบสนองของเซลนำมาสู่ทั้งอัตราส่วนของ ADP และ ATP ต่อความเข้มข้นของ adenosine และระดับความสัมพันธ์ของการแสดงออกและความแรงสัญญาณของตัวรับนั้น โดยในบทความจะอภิปรายบทบาทหน้าที่ของ purinergic signaling ในโรคที่มีลักษณะของการอักเสบและสิ่งที่เสริมให้เกิดความผิดปกติของ purinergic signaling อันนำไปสู่กลไกของการเกิดโรคเฉียบพลันและเรื้อรัง
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
Extracellular Nucleotide Release and Signaling
Extracellular Conversion of ATP and ADP to Adenosine
Extracellular Adenosine Signaling
Termination of Adenosine Signaling
Purinergic Signaling as a Regulator of Platelet Function
Extracellular ATP and Adenosine during Ischemia and Reperfusion
P1- and P2-Receptor Signaling during Acute Lung Injury
Purinergic Signaling in IBD
Immunotherapy of Cancer
Conclusions
Source Information
อ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1205750
Mechanisms of disease
N Engl J Med December 13, 2012
พิวรีนเป็นสารที่มีโมเลกุลเป็นวง (cyclic) และมีสมบัติเป็นอะโรมาติก (heterocyclic aromatic molecules) ซึ่งอยู่ในหมู่สารชีวเคมีที่เก่าแก่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการวิวัฒนาการ purine nucleotide adenosine triphosphate (ATP) เป็นพลังงานหมุนเวียนของปฏิกิริยาทางชีววิทยาโดทั่วไปภายในเซลสิ่งมีชีวิตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
โดยได้มีการตรวจสอบบทบาทของพิวรีนซึ่งเป็นสัญญาณของโมเลกุลภายนอกเซล ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ ATP, adenosine diphosphate (ADP) และ adenosine
มีการรายงานเกี่ยวกับ purinergic signaling ครั้งแรกในปี1929, เมื่อนักวิทยาศาสตร์ฉีดสารสกัดจากเนื้อเยื่อหัวใจเข้าเส้นเลือดดำในสัตว์ที่ปกติเและสังเกตพบว่าอัตราการเต้นหัวใจช้าลงชั่วคราว ซึ่งนัวิทยาศาสตร์ได้ระบุต่อมาว่าสารทางชีววิทยาดังกล่าวเป็นสารประกอบ adenine, การเกิดการปิดกั้นกระแสไฟฟ้าหัวใจ
(heart block) ซึ่งมีการชักนำโดยการฉีดยา adenosine ทางหลอดเลือดดำยังคงมีความสำคัญในการประยุกต์ใช้ purinergic signaling ในทางคลินิก
การวิจัยเพิ่มเติมในทศวรรษที่ผ่านมาได้นำไปสู่การค้นพบของผลทางชีววิทยาหลายอย่างของ ATP, ADP, และ adenosine signaling สารสื่อกลางเหล่านี้ทำงานผ่านการกระตุ้นของ G-protein–coupled หรือ ligand-gated ion-channel receptors
Adenosine ได้มาจาก ATP และ ADP โดยผ่านปฏฺกิริยาของเอนไซม์ที่อยู่บนพื้นผิวเซลล์ รวมทั้งยังมีการแสดงออกของตัวรับสำหรับสารสื่อกลางเหล่านี้ โดยที่ตัวรับของ ATP และ ADP และตัวรับของ adenosine มักจะก่อให้เกิดผลที่ตรงข้ามกัน ผลของการตอบสนองของเซลนำมาสู่ทั้งอัตราส่วนของ ADP และ ATP ต่อความเข้มข้นของ adenosine และระดับความสัมพันธ์ของการแสดงออกและความแรงสัญญาณของตัวรับนั้น โดยในบทความจะอภิปรายบทบาทหน้าที่ของ purinergic signaling ในโรคที่มีลักษณะของการอักเสบและสิ่งที่เสริมให้เกิดความผิดปกติของ purinergic signaling อันนำไปสู่กลไกของการเกิดโรคเฉียบพลันและเรื้อรัง
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
Extracellular Nucleotide Release and Signaling
Extracellular Conversion of ATP and ADP to Adenosine
Extracellular Adenosine Signaling
Termination of Adenosine Signaling
Purinergic Signaling as a Regulator of Platelet Function
Extracellular ATP and Adenosine during Ischemia and Reperfusion
P1- and P2-Receptor Signaling during Acute Lung Injury
Purinergic Signaling in IBD
Immunotherapy of Cancer
Conclusions
Source Information
อ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1205750
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555
1,959 Targeting epigenetic readers in cancer
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med August 16, 2012
คำว่า "epigenetics" ยังคงเป็นที่โต้แย้งและมีความคลุมเครือ ซึ่งเดิมมีการตั้งชื่อโดย Waddington เพื่ออธิบายการถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของยีนและฟีโนไทป์ของเซลล์ที่เป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงในลำดับดีเอ็นเอ ซึ่ง epigenetics มีการใช้มากที่สุดในการอธิบายการศึกษาชีววิทยาของโครมาตินและจะเป็นคำนิยามที่ใช้ในบทความนี้
โครมาตินเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนของดีเอ็นเอและโปรตีนฮีสโตน มีโครงสร้าง
สำหรับบรรจุจีโนมทั้งหมดของเราและมีสารที่สามารถถ่ายทอดทางพันธูกรรมของเซลยูคาริโอต
Cancer epigenetics เป็นแง่มุมของการศึกษาวิจัยที่มีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความเข้าใจพยาธิวิทยาของการเกิดโรคมะเร็งในระดับโมเลกุลและการระบุเป้าหมายของการบำบัดใหม่ๆ
ความก้าวหน้าในทางเคมีการแพทย์เพื่อใช้รักษาโรคในปัจุบันทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะระบุเป้าหมายเฉพาะ ซึ่งไม่เพียงแต่การเร่งปฏิกิริยาของควบคุมการเกิด epigenetic แต่ยังรวมถึงปฏิกิริยาระหว่างโปรตีนกับโปรตีนที่จำกัดให้โปรตีนทั้งหลายเหล่านี้ไปยังโครมาติน
แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ส่วนใหญ่ของเนื้องอกมีความไวต่อ bromodomain and extraterminal (BET) เป้าหมายของการรักษา epigenetic ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรมในเนื้องอกชนิดที่มีความไวดังกล่าว ดังนั้นการคัดกรองแบบง่ายเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรมจึงไม่อาจใช้เพื่อทำนายการตอบสนองต่อการรักษา
โดยความเป็นไปได้ในการจะระบุถึงชนิดของเนื้องอกที่มีความไวได้แก่การดูความไวต่อยาและการคัดกรองการเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรม ซึ่งเพิ่งได้รับการรายงานในการศึกษาคัดกรองที่มีขนาดใหญ่สองการศึกษา และการใช้การถอดรหัสหรือตัวชี้วัดทางชีวภาพของ epigenetic ในการทำนายการตอบสนอง
ความสำเร็จในการใช้ bromodomain inhibitors ในการรักษาโรคมะเร็งมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และอุตสาหกรรมยาค้นหาสารส่วนประกอบที่อาจคล้ายเป้าหมายและรบกวน chromatin reader motifs อื่น ๆ รวม ทั้ง chromodomains และ plant homeodomain (PHD) fingers ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วว่ามีบทบาทสำคัญในมะเร็งบางชนิด
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
Epigenetics and Chromatin Biology
Epigenetic Readers
BET Bromodomain Inhibitors
BET Inhibitors in Cancer
-NUT Midline Carcinoma
-Acute Myeloid Leukemia with MLL Translocations
-Multiple Myeloma and Burkitt's Lymphoma
Conclusions
Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1112635
Mechanisms of disease
N Engl J Med August 16, 2012
คำว่า "epigenetics" ยังคงเป็นที่โต้แย้งและมีความคลุมเครือ ซึ่งเดิมมีการตั้งชื่อโดย Waddington เพื่ออธิบายการถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของยีนและฟีโนไทป์ของเซลล์ที่เป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงในลำดับดีเอ็นเอ ซึ่ง epigenetics มีการใช้มากที่สุดในการอธิบายการศึกษาชีววิทยาของโครมาตินและจะเป็นคำนิยามที่ใช้ในบทความนี้
โครมาตินเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนของดีเอ็นเอและโปรตีนฮีสโตน มีโครงสร้าง
สำหรับบรรจุจีโนมทั้งหมดของเราและมีสารที่สามารถถ่ายทอดทางพันธูกรรมของเซลยูคาริโอต
Cancer epigenetics เป็นแง่มุมของการศึกษาวิจัยที่มีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความเข้าใจพยาธิวิทยาของการเกิดโรคมะเร็งในระดับโมเลกุลและการระบุเป้าหมายของการบำบัดใหม่ๆ
ความก้าวหน้าในทางเคมีการแพทย์เพื่อใช้รักษาโรคในปัจุบันทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะระบุเป้าหมายเฉพาะ ซึ่งไม่เพียงแต่การเร่งปฏิกิริยาของควบคุมการเกิด epigenetic แต่ยังรวมถึงปฏิกิริยาระหว่างโปรตีนกับโปรตีนที่จำกัดให้โปรตีนทั้งหลายเหล่านี้ไปยังโครมาติน
แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ส่วนใหญ่ของเนื้องอกมีความไวต่อ bromodomain and extraterminal (BET) เป้าหมายของการรักษา epigenetic ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรมในเนื้องอกชนิดที่มีความไวดังกล่าว ดังนั้นการคัดกรองแบบง่ายเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรมจึงไม่อาจใช้เพื่อทำนายการตอบสนองต่อการรักษา
โดยความเป็นไปได้ในการจะระบุถึงชนิดของเนื้องอกที่มีความไวได้แก่การดูความไวต่อยาและการคัดกรองการเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรม ซึ่งเพิ่งได้รับการรายงานในการศึกษาคัดกรองที่มีขนาดใหญ่สองการศึกษา และการใช้การถอดรหัสหรือตัวชี้วัดทางชีวภาพของ epigenetic ในการทำนายการตอบสนอง
ความสำเร็จในการใช้ bromodomain inhibitors ในการรักษาโรคมะเร็งมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และอุตสาหกรรมยาค้นหาสารส่วนประกอบที่อาจคล้ายเป้าหมายและรบกวน chromatin reader motifs อื่น ๆ รวม ทั้ง chromodomains และ plant homeodomain (PHD) fingers ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วว่ามีบทบาทสำคัญในมะเร็งบางชนิด
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
Epigenetics and Chromatin Biology
Epigenetic Readers
BET Bromodomain Inhibitors
BET Inhibitors in Cancer
-NUT Midline Carcinoma
-Acute Myeloid Leukemia with MLL Translocations
-Multiple Myeloma and Burkitt's Lymphoma
Conclusions
Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1112635
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555
1,725 Diabetic retinopathy
Review article
Mechanism of disaese
N Engl J Med March 29, 2012
จากความจริงที่ว่าการรักษาภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดในจอประสาทตาจะช่วยรักษาการมองเห็นในผู้ป่วยโรคจอประสาทตาจากเบาหวาน ซึ่งจะเน้นไปที่การเชื่อมโยงซึ่งกันและกันของระบบประสาทและระบบหลอดเลือดของจอประสาทตาและการทำหน้าที่ของหน่วยระบบประสาท-หลอดเลือดในจอประสาทตา
บทความนี้จะเน้นไปที่หลักการพื้นฐานของการควบคุมเมตาโบลิซึมและการรักษาที่ต่อต้านกับ VEGF (anti-VEGF) ในการรักษาโรคจอประสาทตาจากเบาหวาน และยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระดับโมเลกุลของเซลประสาท เซลล์เกลียและเซลของหลอดเลือดในจอประสาทตา ซึ่งเป็นพื้นฐานของหน่วยระบบประสาท-หลอดเลือด โดยเน้นไปที่แนวการรักษาใหม่ๆ ที่มีความจำเป็นเนื่องจากความชุกของโรคเบาหวานทั่วโลกเพิ่มขึ้นมาก
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
Diabetic Retinopathy in the Past and Present
The Diabetes Epidemic
Clinical Trials of Retinopathy Therapies
The Neurovascular Unit
Vascular Leakage and Angiogenesis
Neuronal Dysfunction
Inflammation in Diabetic Retinopathy
Future Challenges and Opportunities
Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1005073
Mechanism of disaese
N Engl J Med March 29, 2012
เมื่อเร็วนี้ ๆ การรักษาโรคจอประสาทตาจากเบาหวานอาศัยการดูแลความผิดปกติเมตาโบลิซึมของโรค
เบาหวาน จนความรุนแรงของรอยโรคที่เกิดกับหลอดเลือดมากขึ้นก็จะใช้การรักษาโดยการยิงเลเซอร์
ซึ่งการควบคุมเมตาโบลิซึมเข้มข้นชิดยังคงเป็นวิธีการหลักที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมภาวะความผิดปกติของจอประสาทตาและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ของเบาหวาน
การศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ vascular endothelial growth factor (VEGF) ในรอยโรคหลอดเลือดที่จอประสาทตาของผู้ป่วยเบาหวาน ยาใหม่ซึ่งยับยั้ง VEGF ออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพในการรักษาในผู้ป่วยที่การควบคุมด้านเมตาโบลิซึมอย่างเดียวไม่เพียงพอจากความจริงที่ว่าการรักษาภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดในจอประสาทตาจะช่วยรักษาการมองเห็นในผู้ป่วยโรคจอประสาทตาจากเบาหวาน ซึ่งจะเน้นไปที่การเชื่อมโยงซึ่งกันและกันของระบบประสาทและระบบหลอดเลือดของจอประสาทตาและการทำหน้าที่ของหน่วยระบบประสาท-หลอดเลือดในจอประสาทตา
บทความนี้จะเน้นไปที่หลักการพื้นฐานของการควบคุมเมตาโบลิซึมและการรักษาที่ต่อต้านกับ VEGF (anti-VEGF) ในการรักษาโรคจอประสาทตาจากเบาหวาน และยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระดับโมเลกุลของเซลประสาท เซลล์เกลียและเซลของหลอดเลือดในจอประสาทตา ซึ่งเป็นพื้นฐานของหน่วยระบบประสาท-หลอดเลือด โดยเน้นไปที่แนวการรักษาใหม่ๆ ที่มีความจำเป็นเนื่องจากความชุกของโรคเบาหวานทั่วโลกเพิ่มขึ้นมาก
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
Diabetic Retinopathy in the Past and Present
The Diabetes Epidemic
Clinical Trials of Retinopathy Therapies
The Neurovascular Unit
Vascular Leakage and Angiogenesis
Neuronal Dysfunction
Inflammation in Diabetic Retinopathy
Future Challenges and Opportunities
Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1005073
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555
1,714 Monogenic mitochondrial disorders
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med March 22, 2012
เพื่อให้ทำงานเป็นไปได้ตามปกติ เซลล์ของมนุษย์ต้องใช้พลังงานในรูปแบบของ ATP ในเซลล์หลายชนิด ATP ถูกสร้างขึ้นโดยไมโทคอนเดรีย (mitochondria) เป็นหลัก ซึ่งไมโทคอนเดรียยังเป็นหลักในกระบวนการที่สำคํญอื่น ๆของเซลล์ เช่นการปรับตัว การสร้างความร้อน ทำให้เกิดความสมดุลย์ของไอออนในร่างกาย การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของร่างกาย ปฏิกิริยาการเกิดอนุมูลอิสระ และรูปแบบการตายของเซลล์แบบที่มีการโปรแกรมไว้แล้ว (programmed cell death apoptosis) ไมโทคอนเดรียมีดีเอ็นเอของตัวเอง (mtDNA), มี encodes mitochondrial proteins 13 ชนิด, RNAs ribosomal (rRNAs) 2 ชนิดและ RNAs transfer (tRNAs) 22 ชนิด การจำลองแบบ การถอดรหัส การแปลและการซ่อมแซมของ mtDNA จะถูกควบคุมด้วยโปรตีนการเข้ารหัสโดยดีเอ็นเอนิวเคลียร์ (nDNA)
ความผิดปกติของไมโทคอนเดรียไม่เพียงแต่สามารถพบได้ในความผิดปกติต่างๆ ของไมโทคอนเดรียที่เกิดกับยีนเดี่ยว (monogenic mitochondrial disorders) แต่ยังส้มพันธ์กับพยาธิสภาพของโรคที่พบได้บ่อยอีกหลายชนิด เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน มะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคลมชัก โรคฮันติงตัน และโรคอ้วน นอกจากนี้จะมีการลดลงของการแสดงออกของยีนต่างๆ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของความชราในมนุษย์ตามปกติ ซึ่งยังไม่เป็นที่ชัดเจนนักว่าการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกที่เกิดขึ้นกับความชรามีผลในเชิงบวกหรือเชิงลบเกี่ยวกับความยืนยาวของชีวิต
การเพิ่มของประชากรผู้สูงอายุในสังคมที่พัฒนาแล้วและความชุกที่เพิ่มขึ้นของบางสภาวะเช่น โรคอัลไซเมอร์และโรคเบาหวาน ซึ่งการศึกษากระบวนการของไมโทคอนเดรียและโรคอาจนำมาสู่ความเข้าใจกระบวนการของความชราของมนุษย์และความสัมพันธ์กับสภาวะต่างๆ ข้างต้น
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
Internal and External Structure and ATP Generation
Structure
ATP Generation
Monogenic Cell Models of Mitochondrial Dysfunction
Primary and Secondary Disorders
Mutations and Phenotype
Developing a Rational Intervention Strategy
Intervention Strategies
Mitochondria-Targeted Small Molecules
Treatment of Mitochondrial Disorders
Future Perspectives
Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1012478
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
1,636 IgG4-related disease
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med February 9, 2012
โรคที่มีความสัมพันธ์กับ IgG4 (IgG4-related disease) ได้รับการรับรู้เมื่อเร็วๆ ว่าเป็นสภาวะที่มีลักษณะพยาธิวิทยาที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับระบบอวัยวะต่างๆ ในวงกว้าง สภาวะนี้เป็นการวมความผิดปกติทางการแพทย์ที่มีจำนวนมากซึ่งก่อนหน้านี้คิดว่าเป็นเรื่องของระบบอวัยวะเดียว
ความเชื่อมโยงอย่างถูกต้องในลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาชนิดเต็มรูปแบบของโรคที่เกี่ยวข้องกับ IgG4, ความถี่บ่อยของ IgG4 ที่สูงขึ้นและการค้นพบ IgG4-bearing plasma cells ในเนื้อเยื่อยังคงที่จะมีการตรวจสอบอย่างเต็มที่ต่อไป
และความเข้าใจที่ครอบคลุมของโมเลกุล IgG4, แง่มุมที่หลากหลายของโรคที่เกี่ยวข้องกับ IgG4 และการตอบสนองของโรคนี้ต่อการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสีย B-เซลล์, อาจให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญในระบบภูมิคุ้มกันและสภาวะอื่น ๆ ที่ปัจจุบันทราบว่ามีความสัมพันธ์กับ IgG4
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
The IgG4 Molecule
IgG4 in Other Diseases
Pathological Features of IgG4-Related Disease
Pathophysiological Mechanisms
Potential Initiating Mechanisms
Specific Disease Pathways
Epidemiologic Characteristics
Clinical Features of Organ-System Involvement
Imaging Features
Serologic Findings
Treatment
Conclusions
Source Information
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555
1,600 Iron overload in human disease
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med January 26, 2012
ภาวะเหล็กเกินมักจะเป็นภาวะที่ซ่อนเร้นอยู่ แลัวมีการกำเริบของโรค และบางครั้งมีผลต่ออวัยวะต่างๆ แบบไม่คืนกลับก่อนที่จะมีแสดงอาการ แต่อย่างไรก็ตามผลที่เกิดจากภาวะพิษจากภาวะเหล็กเกินดังกล่าวสามารถที่จะทำให้บรรเทาลงหรือป้องกันได้ ภาวะความผิดปกติของเหล็กเกินบางชนิดพบได้บ่อย (เช่น HFE-associated hereditary hemochromatosis และ β-thalassemia) ขณะที่บางชนิดพบได้น้อยมาก ความเข้าใจพยาธิสรีระวิทยาของความผิดปกติช่วยในการสืบค้นและแยกแยะภาวะที่พบได้ไม่บ่อย เนื่องจากมีการพบความสัมพันธ์ระดับโมเลกุลหลายอย่างที่เกี่ยวกับเมตาโบลิซึมของธาตุเหล็กเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวถึงเกี่ยวกับความเข้าใจเมตาโบลิซึมของธาตุเหล็กและอภิปรายจำเพาะลงเกี่ยวกับภาวะความผิดปกติของการเหล็กเกิน
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วยIron Metabolism
Enterocytes
Circulating Iron
Erythroid Precursors
Reticuloendothelial Macrophages
Hepatocytes
Iron-Overload Disorders
Disorders of the Hepcidin–Ferroportin Axis
Disorders of Erythroid Maturation
Disorders of Iron Transport
Neonatal Hemochromatosis
Localized Iron Overload
Iron-Mediated Cellular Injury
Diagnosis of Systemic Iron-Overload Disorders
Future Therapies
Source Information
อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1004967
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554
1544. Proprotein convertases in health and disease
Review article
Mechanisms of diseasae
N Engl J Med December 29, 2011
Proprotein convertases เป็นกลุ่มของ serine endoproteases activating ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งเป็นโปรตีนที่หลั่งออกมามีหน้าที่หลายอย่างที่จำเป็นสำหรับการรักษาสมดุลของร่างกาย เอ็นไซม์นี้ยังเป็นตัวกำหนดสำคัญของความหลากหลายและความก้าวหน้าทางพยาธิวิทยา ซึ่ง proprotein convertases จะเป็นตัวแทนเพื่อเป็นเป้าหมายในการรักษาโรคต่างๆ ในอนาคต
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
Structure and Biochemistry
Proprotein Convertases in Health and Disease
-Hormones and Endocrinopathies
-Cancer
-Infectious Diseases
-Lipid Disorders and Atherosclerosis
-Alzheimer's Disease
Proprotein Convertases as Therapeutic Targets
-Biodefense
-Metastatic Cancer
-Hyperlipidemia
Conclusions
Source Information
Source Information
วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
1,443. The human plasma lipidome
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med November 10, 2011
ขณะที่การขนส่งและการกระจายของไขมันที่ซับซ้อนกว่าจะอาศัยไลโปโปรตีนในเลือด
ความหลากหลายของโครงสร้างไขมันถูกสะท้อนให้เห็นโดยความแตกต่างที่หลากหลายในการทำงานทางสรีรวิทยา
โมเลกุลของไขมันที่มีมากมายในเลือดของสัตว์แต่ละสปีชีส์ช่วยบ่งบอกถึงความหลากหลายของโรคในมนุษย์ด้วย
ในบทความนี้ จะอภิปรายการประยุกต์ใช้ของข้อมูลที่ได้ทำการรวบรวมเกี่ยวกับกระบวนการเมทาบอลิซึมของไขมันเพื่อวิเคราะห์เชิงปริมาณของไขมันประเภทต่างๆ ทั้งหมดที่มีในเลือดมนุษย์ และตรวจสอบความเป็นไปได้ของการใช้ความหลากหลายของไขมันเพื่อเป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยและการรักษา
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
Diversity of Lipids in Human Plasma
Plasma Lipids in the Metabolic Syndrome
Obesity and Glycerolipids
Saturated and Unsaturated Fatty Acids in the Regulation of Energy Metabolism
Free Fatty Acid Signaling and Insulin Sensitivity
Fish Oil, Eicosanoids, and Inflammation
Cholesterol, Oxidized Sterols, and Cardiovascular Risk
Phospholipids and Sphingolipids in Cancer and Neurologic Diseases
Clinical Perspectives on Lipidomics and Therapeutic Monitoring
Conclusions
Source Information
เพิ่มเติม:
-Lipidome หมาย ถึงไขมันทั้งหมดที่มีอยู่ในเซล
-ไลโปโปรตีน (lipoprotein) คือ ไขมันที่อยู่รวมกับกรดอะมิโนหรือโปรตีนพบในเยื่อหุ้มเซลล์ ในเลือดที่ทำหน้าที่ขนส่งพวกไลปิดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
อ่านต่อ: http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1104901
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554
1,261. Oxygen sensing, homeostasis, and disease
Oxygen sensing, homeostasis, and disease
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med August 11, 2011
ออกซิเจนมีบทบาทสำคัญในพยาธิชีววิทยาของโรคหัวใจ, มะเร็ง, โรคหลอดเลือดสมองและโรคปอดเรื้อรังซึ่งเป็นสาเหตุ 60% ของการเสียชีวิตในประเทศสหรัฐอเมริกา บทความนี้สรุปความก้าวหน้าเกี่ยวกับความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการที่เซลล์รับรู้และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของออกซิเจน และผลกระทบทางสรีรวิทยาหรือพยาธิของการตอบสนองในบริบทของการเกิดโรคเรื้อรัง
บทความนี้มีเนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
Mechanisms of Signal Transduction in Hypoxia
Regulation of Cellular Metabolism by HIF-1
The PHD–VHL–HIF Axis in Hereditary Erythrocytosis
Failed Adaptation to Hypoxia in Ischemic Cardiovascular Disease
Co-opted Adaptation to Hypoxia in Cancer
Maladaptive Responses to Hypoxia in Pulmonary Hypertension
Evolutionary Adaptation of Tibetans to High Altitude
Conclusions
Source Information
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med August 11, 2011
ออกซิเจนมีบทบาทสำคัญในพยาธิชีววิทยาของโรคหัวใจ, มะเร็ง, โรคหลอดเลือดสมองและโรคปอดเรื้อรังซึ่งเป็นสาเหตุ 60% ของการเสียชีวิตในประเทศสหรัฐอเมริกา บทความนี้สรุปความก้าวหน้าเกี่ยวกับความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการที่เซลล์รับรู้และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของออกซิเจน และผลกระทบทางสรีรวิทยาหรือพยาธิของการตอบสนองในบริบทของการเกิดโรคเรื้อรัง
บทความนี้มีเนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
Mechanisms of Signal Transduction in Hypoxia
Regulation of Cellular Metabolism by HIF-1
The PHD–VHL–HIF Axis in Hereditary Erythrocytosis
Failed Adaptation to Hypoxia in Ischemic Cardiovascular Disease
Co-opted Adaptation to Hypoxia in Cancer
Maladaptive Responses to Hypoxia in Pulmonary Hypertension
Evolutionary Adaptation of Tibetans to High Altitude
Conclusions
Source Information
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
1,118. The hemostatic system as a modulator of atherosclerosis
The hemostatic system as a modulator of atherosclerosis
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med May 5, 2011
โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนโดยทั่วโลก แนวคิดดั้งเดิมของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว (atherosclerosis) เกิดจากบทบาทของการอักเสบและการดำเนินโรคที่มากขึ้น เซลที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบชนิดต่าง ๆ (เช่น macrophages, neutrophils และเซลล์เม็ดเลือดขาว) มีบทบาทสำคัญในการเกิดความไม่เสถียร(destabilization) และแตกออกตามมาหรือการเกิดเสียหายของคราบสะสมไขมัน (atherosclerotic plaque) ในที่สุดส่งจะผลให้หลอดเลือดแข็งและตีบตัน (atherothrombosis) การอักเสบมีการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับภาวะการแข็งตัวของเลือดในหลายสภาวะทางด้านพยาธิวิทยา
ซึ่งการเชื่อมโยงของสองทิศทางระหว่างทั้งสองระบบ(ระบบการอักเสบและระบบกลไกการห้ามเลือด) ได้ก่อให้เกิดโรคที่ซับซ้อนจำนวนมากรวมทั้งภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางคลินิกเกี่ยวกับบทบาทของระบบกลไกการห้ามเลือดในการก่อให้เกิดการดำเนินโรคมากขึ้น แต่ข้อมูลจากการทดลองชี้ให้เห็นว่าเกล็ดเลือดและระบบการแข็งตัวของเลือดเป็นตัวกำหนดที่สำคัญของทั้ง atherothrombosis และ atherogenesis
ในการวิจัยทางคลินิกจำนวนมาก การให้ยาต้านเกล็ดเลือดหรือยากันเลือดแข็งตัวไม่ได้มีการเชื่อมโยงกับการลดของการเจริญเติบโตของพล็าค แต่อย่างไรก็ตามระบบกลไกการห้ามเลือดเป็นที่รู้จักกันดีว่าสามารถก่อให้เกิดผลต่อหลอดเลือด
ซึ่งอาจมีผลต่อองค์ประกอบระดับโมเลกุลและระดับเซลของผนังหลอดเลือดแดงและยังอาจมีผลต่อการเกิดพล็าคของหลอดเลือด
บทความนี้กล่าวครอบคลุมถึงความก้าวหน้าของงานทางด้านนี้และการกล่าวถึงกลไกการห้ามเลือดซึ่งเป็นตัวควบคุมฟีโนไทป์พล็าค
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med May 5, 2011
โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนโดยทั่วโลก แนวคิดดั้งเดิมของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว (atherosclerosis) เกิดจากบทบาทของการอักเสบและการดำเนินโรคที่มากขึ้น เซลที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบชนิดต่าง ๆ (เช่น macrophages, neutrophils และเซลล์เม็ดเลือดขาว) มีบทบาทสำคัญในการเกิดความไม่เสถียร(destabilization) และแตกออกตามมาหรือการเกิดเสียหายของคราบสะสมไขมัน (atherosclerotic plaque) ในที่สุดส่งจะผลให้หลอดเลือดแข็งและตีบตัน (atherothrombosis) การอักเสบมีการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับภาวะการแข็งตัวของเลือดในหลายสภาวะทางด้านพยาธิวิทยา
ซึ่งการเชื่อมโยงของสองทิศทางระหว่างทั้งสองระบบ(ระบบการอักเสบและระบบกลไกการห้ามเลือด) ได้ก่อให้เกิดโรคที่ซับซ้อนจำนวนมากรวมทั้งภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางคลินิกเกี่ยวกับบทบาทของระบบกลไกการห้ามเลือดในการก่อให้เกิดการดำเนินโรคมากขึ้น แต่ข้อมูลจากการทดลองชี้ให้เห็นว่าเกล็ดเลือดและระบบการแข็งตัวของเลือดเป็นตัวกำหนดที่สำคัญของทั้ง atherothrombosis และ atherogenesis
ในการวิจัยทางคลินิกจำนวนมาก การให้ยาต้านเกล็ดเลือดหรือยากันเลือดแข็งตัวไม่ได้มีการเชื่อมโยงกับการลดของการเจริญเติบโตของพล็าค แต่อย่างไรก็ตามระบบกลไกการห้ามเลือดเป็นที่รู้จักกันดีว่าสามารถก่อให้เกิดผลต่อหลอดเลือด
ซึ่งอาจมีผลต่อองค์ประกอบระดับโมเลกุลและระดับเซลของผนังหลอดเลือดแดงและยังอาจมีผลต่อการเกิดพล็าคของหลอดเลือด
บทความนี้กล่าวครอบคลุมถึงความก้าวหน้าของงานทางด้านนี้และการกล่าวถึงกลไกการห้ามเลือดซึ่งเป็นตัวควบคุมฟีโนไทป์พล็าค
วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554
1,103. Ciliopathies
Ciliopathies
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med April 21, 2011
พัฒนาการและความเสื่อมในความผิดปกติของยีนเดี่ยว เช่นโรค polycystic kidney disease, nephronophthisis, pigmentosa retinitis, Bardet–Biedl syndrome, the Joubert syndrome, และ Meckel syndrome อาจจัดอยู่ในกลุ่ม ciliopathies
แนวความคิดล่าสุดได้อธิบายว่าเป็นความผิดปกติของตัวออร์แกเนลล์ที่มีลักษณะคล้ายขน ซึ่งเรียกว่า cilium ส่วนใหญ่เป็นโปรตีนที่มีการเปลี่ยนแปลงในความผิดปกติของการทำงานของยีนเดี่ยว ในระดับของ cilium–centrosome complex ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของระบบในธรรมชาติในการตรวจหาเซลล์และการจัดการกับสิ่งที่มาจากภายนอก
Cilia มีโครงสร้างเป็นแบบ microtubule - based ที่พบในเซลล์สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังเกือบทั้งหมด ซึ่งกำเนิดมาจาก basal body การเปลี่ยนแปลงของ centrosome ซึ่งเป็นออร์แกเนลล์ที่มีรูปเป็นแบบ spindle poles ในช่วงระหว่างการแบ่งตัวแบบ mitosis โดยบทบาทสำคัญของ cilium - centrosome complex เพื่อให้การทำงานเป็นปกติในเซลเนื้อเยื่อส่วนใหญ่จนไปถึงระบบอวัยวะต่างๆ
โดยในบทความนี้ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ cilium ในการเกิดโรค
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med April 21, 2011
พัฒนาการและความเสื่อมในความผิดปกติของยีนเดี่ยว เช่นโรค polycystic kidney disease, nephronophthisis, pigmentosa retinitis, Bardet–Biedl syndrome, the Joubert syndrome, และ Meckel syndrome อาจจัดอยู่ในกลุ่ม ciliopathies
แนวความคิดล่าสุดได้อธิบายว่าเป็นความผิดปกติของตัวออร์แกเนลล์ที่มีลักษณะคล้ายขน ซึ่งเรียกว่า cilium ส่วนใหญ่เป็นโปรตีนที่มีการเปลี่ยนแปลงในความผิดปกติของการทำงานของยีนเดี่ยว ในระดับของ cilium–centrosome complex ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของระบบในธรรมชาติในการตรวจหาเซลล์และการจัดการกับสิ่งที่มาจากภายนอก
Cilia มีโครงสร้างเป็นแบบ microtubule - based ที่พบในเซลล์สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังเกือบทั้งหมด ซึ่งกำเนิดมาจาก basal body การเปลี่ยนแปลงของ centrosome ซึ่งเป็นออร์แกเนลล์ที่มีรูปเป็นแบบ spindle poles ในช่วงระหว่างการแบ่งตัวแบบ mitosis โดยบทบาทสำคัญของ cilium - centrosome complex เพื่อให้การทำงานเป็นปกติในเซลเนื้อเยื่อส่วนใหญ่จนไปถึงระบบอวัยวะต่างๆ
โดยในบทความนี้ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ cilium ในการเกิดโรค
วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
1,007. Hypoxia and inflammation
Hypoxia and inflammation
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med February 17, 2011
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีตัวรับรู้ออกซิเจน ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยให้พวกเขาปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อภาวะขาดออกซิเจนโดยทำให้เกิดการหายใจเพิ่มขึ้น เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตและการตอบสนองเพื่อความอยู่รอด หากออกซิเจนยังไม่เพียงพออีกยังมีกลไกที่พยายามจะทำให้ออกซิเจนกลับมาเพียงพอหรือช่วยให้ร่างกายสามารถปรับตัวเข้ากับภาวะขาดออกซิเจน
กลไกต่าง ๆ เหล่านี้ต้องอาศัยตัวรับรู้ออกซิเจน hydroxylases prolyl (PHDs) โดย hydroxylate prolines จะอยู่ในหน่วยย่อยแอลฟาของ hypoxia-inducible transcription factor (HIF)
โดยปัจจัยการถอดรหัส(transcription factor) นี้เป็น heterodimer กับสองหน่วยย่อยซึ่งได้แก่ HIF - 1αหรือ HIF - 2αและ HIF - 1β (หรือaryl hydrocarbon receptor nuclear translocator [ARNT] protein) โดยHIF - 1α มีอยู่แพร่หลาย ส่วนHIF - 2α ถูกจำกัดอยู่เฉพาะในบางนื้อเยื่อ
บทความนี้จะแสดงให้เห็นถึงวิธีการที่ระบบ PHD - HIF มีผลต่อกระบวนการอักเสบ อธิบายเกี่ยวกับการควบคุมของการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันโดยสัญญาณเหนี่ยวนำจากการขาดออกซิเจน ลักษณะในระดับโมเลกุลระหว่างการขาดออกซิเจนและขบวนการการอักเสบ และแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างการขาดออกซิเจนและการอักเสบในโรคลำไส้อักเสบ, โรคมะเร็งบางชนิดและการติดเชื้อ
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med February 17, 2011
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีตัวรับรู้ออกซิเจน ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยให้พวกเขาปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อภาวะขาดออกซิเจนโดยทำให้เกิดการหายใจเพิ่มขึ้น เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตและการตอบสนองเพื่อความอยู่รอด หากออกซิเจนยังไม่เพียงพออีกยังมีกลไกที่พยายามจะทำให้ออกซิเจนกลับมาเพียงพอหรือช่วยให้ร่างกายสามารถปรับตัวเข้ากับภาวะขาดออกซิเจน
กลไกต่าง ๆ เหล่านี้ต้องอาศัยตัวรับรู้ออกซิเจน hydroxylases prolyl (PHDs) โดย hydroxylate prolines จะอยู่ในหน่วยย่อยแอลฟาของ hypoxia-inducible transcription factor (HIF)
โดยปัจจัยการถอดรหัส(transcription factor) นี้เป็น heterodimer กับสองหน่วยย่อยซึ่งได้แก่ HIF - 1αหรือ HIF - 2αและ HIF - 1β (หรือaryl hydrocarbon receptor nuclear translocator [ARNT] protein) โดยHIF - 1α มีอยู่แพร่หลาย ส่วนHIF - 2α ถูกจำกัดอยู่เฉพาะในบางนื้อเยื่อ
บทความนี้จะแสดงให้เห็นถึงวิธีการที่ระบบ PHD - HIF มีผลต่อกระบวนการอักเสบ อธิบายเกี่ยวกับการควบคุมของการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันโดยสัญญาณเหนี่ยวนำจากการขาดออกซิเจน ลักษณะในระดับโมเลกุลระหว่างการขาดออกซิเจนและขบวนการการอักเสบ และแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างการขาดออกซิเจนและการอักเสบในโรคลำไส้อักเสบ, โรคมะเร็งบางชนิดและการติดเชื้อ
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
985. แนะนำแนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคกระดูกพรุน 2553
แนะนำแนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคกระดูกพรุน 2553
โดยมีเนื้อหาประกอบไปด้วย
-Definition, epidemiology, burden and etiology of osteoporosis
-Diagnosis and bone mass assessment in osteoporosis
-Prevention of osteoporosis and prevention of falls
-Treatment of osteoporosis
-Glucocorticoid-induced osteoporosis
-Osteoporosis in men
โดยมีเนื้อหาประกอบไปด้วย
-Definition, epidemiology, burden and etiology of osteoporosis
-Diagnosis and bone mass assessment in osteoporosis
-Prevention of osteoporosis and prevention of falls
-Treatment of osteoporosis
-Glucocorticoid-induced osteoporosis
-Osteoporosis in men
ถ้าลิ้งค์ข้างบนไม่ทำงานให้เข้าลิ้งค์นี้แทนนะครับ http://www.topf.or.th/ckfinder/userfiles/files/topf_pdf/cpg53_th04.pdf
วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554
958. Immunodeficiency and genetic defects of pattern-recognition receptors
Immunodeficiency and genetic defects of pattern-recognition receptors
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med January 6, 2011
ภาวะความไวต่อการติดเชื้อของเด็กมีความสัมพันธ์กับพ่อแม่ที่แท้จริงของพวกเขามากกว่ากับของพ่อแม่บุญธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัจจัยทางพันธุกรรมสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ
ปัจจัยเหล่านี้มักจะเกิดจากพันธุกรรมมีความหลากหลายหรือมีหลายรูปแบบ แต่ในส่วนน้อยความผิดปกติของพันธุกรรมเพียงรูปแบบเดียวก็สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำได้ การศึกษาทางพันธุกรรมของความไวต่อการติดเชื้อโดยปกติจะมุ่งเน้นในความบกพร่องของการผลิตแอนติบอดีหรือการขาดของทีเซล, phagocytes, natural killer cells หรือ complement ซึ่งแต่ละตัวอาจทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เคยพบกัน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่าความผิดปกติทางพันธุกรรมเกิดเนื่องจากมีการเสียการรับรู้ต่อเชื้อโรคจากระบบภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติ (innate immune system), การเพิ่มความไวต่อจุลินทรีย์ที่จำเพาะ ตัวอย่างเช่น ความบกพร่องในขั้นตอนกระบวนการของ interferon - γ ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ดื้อต่อการรักษาโดยเชื้อที่ก่อโรคภายในเซลเช่น เชื้อมัยโคแบคทีเรียและเชื้อซาลโมเนลล่า
ในบทความนี้เน้นที่ชนิดของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่มีความผิดปกติของรูปแบบการรับรู้ต่อตัวรับ(receptor) และขบวนการทีเกิดขึ้นภายในเซลเป็นหลัก
อ่านต่อ: http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1001976
Review article
Mechanisms of disease
N Engl J Med January 6, 2011
ภาวะความไวต่อการติดเชื้อของเด็กมีความสัมพันธ์กับพ่อแม่ที่แท้จริงของพวกเขามากกว่ากับของพ่อแม่บุญธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัจจัยทางพันธุกรรมสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ
ปัจจัยเหล่านี้มักจะเกิดจากพันธุกรรมมีความหลากหลายหรือมีหลายรูปแบบ แต่ในส่วนน้อยความผิดปกติของพันธุกรรมเพียงรูปแบบเดียวก็สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำได้ การศึกษาทางพันธุกรรมของความไวต่อการติดเชื้อโดยปกติจะมุ่งเน้นในความบกพร่องของการผลิตแอนติบอดีหรือการขาดของทีเซล, phagocytes, natural killer cells หรือ complement ซึ่งแต่ละตัวอาจทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เคยพบกัน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่าความผิดปกติทางพันธุกรรมเกิดเนื่องจากมีการเสียการรับรู้ต่อเชื้อโรคจากระบบภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติ (innate immune system), การเพิ่มความไวต่อจุลินทรีย์ที่จำเพาะ ตัวอย่างเช่น ความบกพร่องในขั้นตอนกระบวนการของ interferon - γ ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ดื้อต่อการรักษาโดยเชื้อที่ก่อโรคภายในเซลเช่น เชื้อมัยโคแบคทีเรียและเชื้อซาลโมเนลล่า
ในบทความนี้เน้นที่ชนิดของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่มีความผิดปกติของรูปแบบการรับรู้ต่อตัวรับ(receptor) และขบวนการทีเกิดขึ้นภายในเซลเป็นหลัก
อ่านต่อ: http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1001976
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)