Link download: http://www.pain-tasp.com/download/cpg/CPG%20Acute%20Pain.pdf
เพื่อการเรียนรู้ medicine และสุขภาพที่ดีของประชาชน (community hospital) * เดิมคือ Phimaimedicine.blogspot.com * ตอนนี้มาปฏิบัติงานอยู่ที่ รพ. ขนอม นครศรีธรรมราชครับ
วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555
1,568. แนวทางการระงับปวดเฉียบพลัน (Clinical guidance for acute pain management)
จัดทำโดย สมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555
1,567. ระยะเวลาในการให้ยาต้านเกล็ดเลือด 2 ตัว ในภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจ
ปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะให้ยาต้านเกล็ดเลือด 2 ตัว (dual antiplatelet therapy) ในภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary event) โดยเฉพาะ aspirin และ clopidogrel จึงอาจจะมีคำถามว่ายาทั้งสองมีระยะเวลาการให้นานเท่าไร โดยเฉพาะยา clopidogrel ซึ่งอาจมีระยะเวลาในการให้ที่แตกต่างกันในแต่ละสภาวะ
ซึ่งจากในวารสาร American family phisician ได้สรุปไว้ดังนี้ครับ
ซึ่งจากในวารสาร American family phisician ได้สรุปไว้ดังนี้ครับ
- ถ้าเป็น aspirin (75 - 325 มก./วัน) : โดยให้ไปตลอดชีวิต
- ถ้าเป็น clopidogrel (plavix; 75 มก./วัน; dual therapy)
Simple angioplasty without stenting : ให้ 2 - 4 สัปดาห์
PCI and bare-metal stents : ให้ 6 สัปดาห์
Myocardial infarction : ให้ 3 - 6 เดือน
Acute coronary syndrome (unstable) : ให้ 6 - 12 เดือน
PCI and drug-eluting stents : ให้อย่างน้อย 12 เดือน
1,566. สาเหตุของ secondary hypertension ที่พบได้บ่อยโดยการแบ่งตามอายุ
ช่วงอายุ เด็ก (แรกเกิด - 12 ปี) | % HT ที่มีสาเหตุ 70 to 85 | สาเหตุที่พบได้บ่อย Renal parenchymal disease |
Coarctation of the aorta | ||
วัยรุ่น (12 - 18 ปี) | 10 to 15 | Renal parenchymal disease |
Coarctation of the aorta | ||
ผู้ใหญ่ตอนต้น (19 39 ปี) | 5 | Thyroid dysfunction |
Fibromuscular dysplasia | ||
Renal parenchymal disease | ||
ผู้ใหญ่ตอนกลาง (40 - 64 ปี) | 8 to 12 | Aldosteronism |
Thyroid dysfunction | ||
Obstructive sleep apnea | ||
Cushing syndrome | ||
Pheochromocytoma | ||
ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) | 17 | Atherosclerotic renal artery stenosis |
Renal failure | ||
Hypothyroidism |
1,565. Osteoporosis Self Assessment Tool for Asian และ Khon Kaen Osteoporosis Study Score
การคัดกรองโรคกระดูกพรุนนอกจากการใช้ Dual Energy X-ray Absorptiometry (DEXA scan) ยังสามารถใช้แบบคัดกรองเบื้องต้นซึ่งได้แก่
1. OSTA ย่อมาจาก Osteoporosis Self Assessment Tool for Asian เป็น Tool อย่างง่ายเพื่อคำนวณหา ความเสี่ยงของการเกิด Osteoposis โดยคำนวณจาก สูตร OSTA = 0.2 (ฺBody Weight (kg) - Age) ถ้าค่า <= -1 เป็น High Risk ถ้า >-1 แสดงว่า Low Risk
2. KKOS Score (Khon Kaen Osteoporosis Study Score) เป็น Tool เพื่อคัดกรองความเสี่ยงต่อ Osteoporosis คิดเป็นมหาิวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งใช้ตัวแปร 2 ตัวคืออายุ และน้ำหนักตัว มาคำนวณค่า ถ้าค่า <= -1 เป็น High Risk ถ้า >-1 แสดงว่า Low Risk ได้มีการทำศึกษาแล้วพบว่า KKOS score ให้ค่า Sensitivity และ Specificity ดีกว่า OSTA แต่มีวิธีการคิดที่ยุ่งยากกว่า
โดยสามารถทำการคำนวนแบบออนไลน์ ตามลิ้งด้านล่าง เพียงแค่ใส่ค่า อายุและน้ำหนักค่าก็จะออกมาและประเมินระดับความเสี่ยงให้ด้วยครับ
http://hpe4.anamai.moph.go.th/hpe/hp/OSTA_KKOS.php
1. OSTA ย่อมาจาก Osteoporosis Self Assessment Tool for Asian เป็น Tool อย่างง่ายเพื่อคำนวณหา ความเสี่ยงของการเกิด Osteoposis โดยคำนวณจาก สูตร OSTA = 0.2 (ฺBody Weight (kg) - Age) ถ้าค่า <= -1 เป็น High Risk ถ้า >-1 แสดงว่า Low Risk
2. KKOS Score (Khon Kaen Osteoporosis Study Score) เป็น Tool เพื่อคัดกรองความเสี่ยงต่อ Osteoporosis คิดเป็นมหาิวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งใช้ตัวแปร 2 ตัวคืออายุ และน้ำหนักตัว มาคำนวณค่า ถ้าค่า <= -1 เป็น High Risk ถ้า >-1 แสดงว่า Low Risk ได้มีการทำศึกษาแล้วพบว่า KKOS score ให้ค่า Sensitivity และ Specificity ดีกว่า OSTA แต่มีวิธีการคิดที่ยุ่งยากกว่า
โดยสามารถทำการคำนวนแบบออนไลน์ ตามลิ้งด้านล่าง เพียงแค่ใส่ค่า อายุและน้ำหนักค่าก็จะออกมาและประเมินระดับความเสี่ยงให้ด้วยครับ
http://hpe4.anamai.moph.go.th/hpe/hp/OSTA_KKOS.php
1,564. คู่มือการกวาดล้างโรคโปลิโอ
กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนสำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค
1. คู่มือการกวาดล้างโรคโปลิโอ
http://203.157.41.191/download/EPI/Poliobook-1.pdf
2. การสอบสวนและควบคุมการระบาด
http://203.157.41.191/download/EPI/Poliobook-2.pdf
3. ภาคผนวก
http://203.157.41.191/download/EPI/Poliobook-3.pdf
4. แบบส่งตัวอย่างผู้ป่วยอัมพาตอ่อนแรงเฉียบพลัน
http://203.157.41.191/download/EPI/Poliobook-4.pdf
5. เกณฑ์ชี้วัดมาตรฐานการเฝ้าระวังผู้ป่วย AFP
http://203.157.41.191/download/EPI/Poliobook-5.pdf
6. หน้าปก
http://203.157.41.191/download/EPI/Poliobook.jpg
วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555
1,563. ตัวอย่างของการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสมในผู้สูงอายุ
ปัจจุบันมีผู้พยายามเสนอเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบรายการยาที่ไม่เหมาะสมในผู้สูงอายุเพิ่มเติมขึ้นเช่น Inappropriate Prescribing in the Elderly Tool (IPET) และ STOPP (Screening Tool of Older Persons' potentially inappropriate Prescriptions) เพื่อให้สอดคล้องกับรายการยาใหม่ที่มีใช้เพิ่มขึ้น
ตัวอย่างของการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสมในผู้สูงอายุ ตามที่ตรวจพบด้วยเกณฑ์ของ STOPP และมีรายงานไว้ในวารสาร มีดังนี้
- ใช้ thiazide กับผู้ป่วยโรคเก๊าต์
- ใช้ beta-blocker กับผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง
- ใช้ beta-blocker กับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือดบ่อยครั้ง
- ใช้ calcium channel blocker กับผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง
- ใช้แอสไพรินในขนาดสูงกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน
- ใช้ tricyclic antidepressant กับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม (ส่งผลให้ผู้ป่วยล้ม กระดูกฟีเมอร์หัก หรือเพ้อ)
- ใช้ benzodiazepine ที่ออกฤทธิ์ยาวกับผู้ป่วยเป็นเวลานาน (ส่งผลให้ผู้ป่วยล้ม กระดูกหัก ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ได้รับยาเกินขนาด หรือการรับรู้ลดลง)
- ใช้ antihistamine ชนิดที่ทำให้ง่วงซึมต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- ใช้ยาแก้ท้องเสีย (diphenoxylate, loperamide, codeine) กับผู้ป่วยโรคท้องร่วงที่มีการติดเชื้อ (มีไข้ ถ่ายเป็นมูกเลือด)
- ใช้ proton pump inhibitor ในการรักษาแผลเพปติก ติดต่อกันนานกว่า 8 สัปดาห์
- ใช้ theophylline เป็นยาเดี่ยวในการรักษาโรคถุงลมโป่งพอง
- ใช้สเตรอยด์ชนิดกินแทนที่จะใช้ชนิดสูดหรือพ่น เข้าหลอดลมกับผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง
- ใช้ NSAID หรือแอสไพรินโดยไม่ให้ยาป้องกันแผลเพปติกกับผู้ที่มีประวัติเป็นแผลในทางเดินอาหาร
- ใช้ NSAID กับผู้มีความดันเลือดสูงปานกลางถึงมาก
- ใช้ NSAID กับผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว
- ใช้ NSAID ระยะยาวกับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีอาการน้อยถึงปานกลาง
- ใช้ NSAID กับ warfarin ร่วมกัน
- ใช้ NSAID กับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
- ใช้ยาต้านฤทธิ์มัสคารินิกกับผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโต
- ใช้ยาในกลุ่มเดียวกันซ้ำซ้อน
1,562. คู่มือการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาระบบประสาทส่วนกลาง เล่ม 1
คู่มือการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาระบบประสาทส่วนกลาง เล่ม 1
Thai National Formulary 2010
Central Nervous System Volume 1
Thai National Formulary 2010
Central Nervous System Volume 1
วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555
1,561. ความสำคัญและการจัดแบ่งบัญชียาหลักแห่งชาติ
เนื่องจากบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อให้เป็นมาตรการหนึ่งในระบบยาที่จะทำให้เกิด ความประหยัดเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจของ ประเทศ ขจัดหรือลดความฟุ่มเฟือยและความสูญ เปล่าที่เกิดจากการใช้ยา โดยบัญชียาหลักแห่งชาติจะเป็นกรอบที่จะช่วยและ ส่งเสริมผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ทุกสาขาให้ใช้ยาอย่างเหมาะสม รวมทั้ง เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการด้านยา ของสถานพยาบาล รายการยาในบัญชียาสำหรับโรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุขจึง ถูกจัดแบ่งออกเป็นบัญชีย่อย 5 บัญชี ได้แก่ บัญชี ก. ข. ค. ง. และ จ. ตามคุณลักษณะของยาแต่ละรายการ ความจำเป็น ต้องใช้ในสถานพยาบาลระดับต่างๆ ระดับความ รู้ความเชี่ยวชาญของแพทย์ที่สมควร เป็นผู้สั่งใช้ยา ตลอดจนระบบการติด ตามประเมินการสั่งใช้ยาที่ควรจัด ให้มีขึ้นสำหรับยาบางรายการ ทั้งนี้ ได้ กำหนดคำจำกัดความของบัญชีย่อยทั้งห้าบัญชีเพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติในการบริหาร เวชภัณฑ์ของสถานพยาบาลไว้ ดังนี้
บัญชี ก. คือ รายการยาที่มีความจำเป็น สำหรับสถานพยาบาลทุกระดับ
บัญชี ข. คือ รายการยาที่อาจจำเป็น ต้องใช้ในสถานพยาบาลบางระดับ หรือจำกัด ข้อบ่งใช้สำหรับ อาการหรือโรคบางชนิด ที่ใช้ยาในบัญชีก. ไม่ได้ หรือไม่ได้ผล หรือเป็นยาที่ใช้แทนยา ในบัญชี ก. ชั่ว คราวในกรณีที่จัดหายาในบัญชี ก. นั้นไม่ได้
บัญชี ค. คือ รายการยาที่ต้องใช้โดยผู้ เชี่ยวชาญที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการของ สถานพยาบาลนั้นๆ เนื่องจาก เป็นยาที่มีอันตราย ถ้าใช้ ไม่ถูกต้องอาจเกิดพิษหรือเป็นอันตราย ต่อผู้ป่วยหรือเป็น สาเหตุให้เกิดเชื้อดื้อ ยาได้ง่าย
บัญชี ง. คือ รายการยาที่อาจมีความจำเป็นต้องใช้สำหรับช่วยชีวิตผู้ป่วยบางราย แต่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อ ผู้ป่วย หรือก่อปัญหาเชื้อดื้อยาที่ร้ายแรง และ/หรือมีราคาแพงมาก การสั่งใช้ยาซึ่งต้องให้สมเหตุผล เกิดความคุ้มค่าสมประโยชน์จะต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยและพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการ ฝึกอบรม ฉะนั้น ยาในบัญชีดังกล่าวจะสั่งใช้ได้โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคที่ได้รับการฝึกอบรมใน สาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากสถานฝึกอบรม หรือได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติจากแพทยสภาหรือ ทันตแพทยสภาเท่านั้น และโรงพยาบาลจะต้องมีระบบการกำกับประเมิน และตรวจสอบการใช้ยา (ระบบ Drug Utilization Evaluation) โดยมีการเก็บข้อมูลการใช้เพื่อ ตรวจสอบในภายหลังได้
บัญชี จ. คือ รายการยาสำหรับใช้เฉพาะโครง การพิเศษของกระทรวง ทบวง กรม หรือเทียบเท่า ที่ได้รับ ความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ
Ref: http://www.fda.moph.go.th/edl/joke/index.htm
บัญชี ก. คือ รายการยาที่มีความจำเป็น สำหรับสถานพยาบาลทุกระดับ
บัญชี ข. คือ รายการยาที่อาจจำเป็น ต้องใช้ในสถานพยาบาลบางระดับ หรือจำกัด ข้อบ่งใช้สำหรับ อาการหรือโรคบางชนิด ที่ใช้ยาในบัญชีก. ไม่ได้ หรือไม่ได้ผล หรือเป็นยาที่ใช้แทนยา ในบัญชี ก. ชั่ว คราวในกรณีที่จัดหายาในบัญชี ก. นั้นไม่ได้
บัญชี ค. คือ รายการยาที่ต้องใช้โดยผู้ เชี่ยวชาญที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการของ สถานพยาบาลนั้นๆ เนื่องจาก เป็นยาที่มีอันตราย ถ้าใช้ ไม่ถูกต้องอาจเกิดพิษหรือเป็นอันตราย ต่อผู้ป่วยหรือเป็น สาเหตุให้เกิดเชื้อดื้อ ยาได้ง่าย
บัญชี ง. คือ รายการยาที่อาจมีความจำเป็นต้องใช้สำหรับช่วยชีวิตผู้ป่วยบางราย แต่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อ ผู้ป่วย หรือก่อปัญหาเชื้อดื้อยาที่ร้ายแรง และ/หรือมีราคาแพงมาก การสั่งใช้ยาซึ่งต้องให้สมเหตุผล เกิดความคุ้มค่าสมประโยชน์จะต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยและพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการ ฝึกอบรม ฉะนั้น ยาในบัญชีดังกล่าวจะสั่งใช้ได้โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคที่ได้รับการฝึกอบรมใน สาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากสถานฝึกอบรม หรือได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติจากแพทยสภาหรือ ทันตแพทยสภาเท่านั้น และโรงพยาบาลจะต้องมีระบบการกำกับประเมิน และตรวจสอบการใช้ยา (ระบบ Drug Utilization Evaluation) โดยมีการเก็บข้อมูลการใช้เพื่อ ตรวจสอบในภายหลังได้
บัญชี จ. คือ รายการยาสำหรับใช้เฉพาะโครง การพิเศษของกระทรวง ทบวง กรม หรือเทียบเท่า ที่ได้รับ ความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ
Ref: http://www.fda.moph.go.th/edl/joke/index.htm
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555
1,560. คู่มือการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ เล่ม 1 ยาระบบทางเดินอาหาร
คู่มือการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ เล่ม 1 ยาระบบทางเดินอาหาร
(Thai National Formulary 2008 Volume 1 Gastro-intestinal system)
1,559. ข้อควรทราบเรื่อง dyspepsia
อาจใช้เกณฑ์การวินิจฉัยของ ROME III
โดยเมื่อนำผู้ป่วย dyspepsia มาจำแนกการวินิจฉัยที่ชัดเจนแล้ว พบสาเหตุดังต่อไปนี้
1. functional dyspepsia พบประมาณร้อยละ 60
2. organic dyspepsia ได้แก่
- Peptic ulcer พบประมาณร้อยละ 20
- GERD พบประมาณร้อยละ 15
- Gastric/esophageal cancer พบประมาณร้อยละ 2
- อื่นๆ พบประมาณร้อยละ 3
เป็นที่น่าสังเกตว่า dyspepsia มีอาการหลายรูปแบบ แต่ประวัติมักไม่สามารถแยกว่าสาเหตุ คือ โรคทางกาย (organic) หรือ functional dyspepsia ได้อย่างชัดเจน ส่วนการตรวจร่างกายมักพบกดเจ็บบริเวณช่องท้องส่วนบน นอกนั้นส่วนใหญ่ปกติ ในทางตรงกันข้ามเมื่อเทียบกับอาการ regurgitation และ heartburn เป็นอาการที่บอกได้ดีว่ามี GERD จากที่ประวัติและตรวจร่างกายมักไม่ช่วยการวินิจฉัยแยกโรค จึงเป็นที่มาของแนวทางการรักษาที่ต้องชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดการวินิจฉัยล่าช้าหรือผิดพลาด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)