วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

1,488. Systemic lupus erythematosus

Review article
Mechanism of disease
N Engl J Med    December 1, 2011

คำว่า lupus erythematosus ได้รับการเสนอเมื่อศตวรรษที่ 19 โดยแพทย์ได้บรรยายรอยโรคที่ผิวหนัง ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 100 ปีที่มีการตระหนักว่าเป็นโรคของระบบทั่วร่างกายไม่มีอวัยวะที่ยกเว้นจากโรคและเกิดจากความปรวนแปรของการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ลักษณะของโรคมีความแตกต่างกันก่อให้เกิดเกณฑ์การวินิจฉัยโดยใช้ 4 ใน 11 ในการวินิจฉัย systemic lupus erythematosus (SLE)
ในผู้ป่วยส่วนใหญ่การเกิดโรคจะเกี่ยวข้องกับอวัยวะและเนื้อเยื่อที่สำคัญ เช่น สมอง ระบบเลือด ไต ผู้ป่วยส่วนมากจะเป็นหญิงวัยเจริญพันธุ์ ความชุกของโรคอยู่ที่ประมาณ 20-150 คน/แสนคน ความหลากหลายของลักษณะทางคลินิกของโรคนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อแพทย์ หลายๆ กลไกของโรคนำมาสู่การสูญเสียความต้านทานของอวัยวะและทำให้เกิดการทำงานผิดปกติของอวัยวะนั้นๆ
บทความนี้ได้สรุปเกี่ยวกับพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงที่ยีนแสดงออก สิ่งแวดล้อม ฮอร์โมน และปัจจัยที่เกี่ยวกับการควบคุมทางด้านภูมิคุ้มกันซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการแสดงออกที่มีผลต่อเนื้อเยื่อและการแสดงออกทางคลินิก รวมถึงความพยายามที่จะพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยในการวินิจฉัยและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
Influences of SLE
  Genetic Influences
  Environmental Influences
  Female Hormones and Sex
  Epigenetic Regulation of Gene Expression
  Immune Cells and Cytokines
Tissue injury in SLE
Gene-expression pattern in SLE
Prospects for new therapeutics
Summary
Source information

Ref: http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1100359

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

1,487. Gemfibrozil รับประทานก่อนอาหารด้วยเหตุผลใด?

วันนี้มีคำถามว่ายา gemfibrozil ควรจะให้ก่อนหรือหลังอาหารด้วยเหตุผลใด? จึงสืบค้นข้อมูลพบดังนี้ครับ...
Gemfibrozil  เป็นยาในกลุ่ม fibrates เป็นยาที่ช่วยลด triglycerides ยานี้ถูกดูดซึมได้ดีโดยการรับประทาน ซึ่งความเข้มข้นสูงสุดของยาในพลาสมาจะอยู่ที่ 1 - 2 ชม.หลังจากรับประทานยา  ระยะห่างของเวลาที่ให้ยากับเวลาที่รับประทานอาหารมีผลต่อ pharmacokinetics ของยา มีการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าทั้งอัตราเร็วและปริมาณการดูดซึมของยาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อให้ยาก่อนอาหาร 30 นาที โดยที่ average AUC จะลดลง 14 - 44% ถ้าให้ยาหลังอาหาร การศึกษาต่อจากนั้นพบว่าอัตราเร็วของการดูดซึมของยามีค่าสูงสุดเมื่อให้ยาก่อนอาหาร 30 นาทีโดยมี Cmax มากกว่าเมื่อให้พร้อมอาหารหรือขณะอดอาหารถึง 50-60%
คำแนะนำในการใช้ยานี้จึงให้รับประทานก่อนอาหาร 30 นาที สำหรับผู้ที่ไม่สามารถทานยาตอนท้องว่างได้ ก็ให้ทานพร้อมอาหารได้ แต่ bioavailability จะน้อยกว่า

Ref: 
http://www.pfizer.com/files/products/uspi_lopid.pdf
http://thaiwonders.com/pharma/index.php?option=com_fireboard&Itemid=59&func=view&catid=4&id=162

1,486. เกณฑ์การวินิจฉัยข้อเข่าเสื่อมชนิดไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic osteoarthritis of the knee)

พบผู้ป่วยที่สงสัยข้อเข่าเสื่อมเป็นประจำ การวินิจฉัยเพื่อความมั่นใจอาจต้องดูเกณฑ์การวินิจฉัย

เกณฑ์การวินิจฉัยข้อเข่าเสื่อมชนิดไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic) ของ American Rheumatism Association (ARA)
มีอาการปวดเข่าร่วมกับการมีกระดูกงอก (osteophytes) จากภาพเอกซเรย์และมีอย่างน้อย 1 ข้อดังนี้
- อายุมากกว่า 50 ปี
- มีอาการปวดตึงข้อในช่วงเช้านาน 30 นาทีหรือน้อยกว่า
- มีเสียงดังกรอบแกรบ (crepitus) ในขณะเคลื่อนไหวข้อ

1,485. วิตามินบี 6 (vitamin B 6, pyridoxine) ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการคลื่นใส้อาเจียน

มีการใช้วิตามินบี 6 (pyridoxine) ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการคลื่นใส้อาเจียน จากการสืบค้นข้อมูลพบดังนี้ครับ...
มีการศึกษาพบว่าการให้วิตามินบี 6 ปริมาณ 10 - 25 มก. ทุก 8 ชม. หรือการรับประทานวิตามินรวมที่มีวิตามินบี 6 ปริมาณ 2.6 มก./วัน ได้ผลในการรักษาภาวะคลื่นใส้อาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ แต่ก็มีบางการศึกษาไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างระดับวิตามินบี  6 ในเลือดและการเกิด morning sickness พบว่าวิตามินบี 6 ในขนาดที่ใช้รักษาไม่พบการทำให้เกิดความผิดปกติในเด็กทารก โดยในต่างประเทศมีการใช้ยาที่ผสมระหว่างวิตามินบี  6 และ antihistamine ซึ่งก็มียาผสมบางขนานที่ถอนตัวออกเนื่องจากมีถูกกล่าวหาว่ามีผลต่อความผิดปกติในเด็กทารก แม้ว่าหลายๆ การศึกษาจะไม่พบความเสี่ยงดังกล่าว

Ref: 
http://www.nejm.org/doi/pdf/10.1056/NEJMcp1003896
http://www.nejm.org/doi/pdf/10.1056/NEJMcp1003896

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

1,484. การพิจารณาเพื่อแยกไทรอยด์ก้อนเดี่ยว (single thyroid nodule) ระหว่าง benign และ malignancy

การพิจารณาเพื่อแยกไทรอยด์ก้อนเดี่ยว (single thyroid nodule) ระหว่าง benign และ malignancy จะดูจาก
1. จากประวัติ: มีประวัติครอบครัว ก้อนโตเร็ว เสียงแหบ กลืนลำบาก ไอ เหนื่อยหอบ
2. การตรวจร่างกาย: ก้อนแข็ง ก้อนขนาดมากกว่า 4 ซม. หรือเป็น partial cyst ก้อนยึดติดกับอวัยวะข้างเคียง มีต่อมน้ำเหลืองโต การมี paralysis ของสายเสียง
3. ปัจจัยเสี่ยง: เพศชาย เคยได้รับการฉายรังสีบริเวณศรีษะและคอในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น อายุน้อยกว่า 20 ปี หรือมากกว่า 60 ปี (บางแนวทาง 70 ปี)
4. การตรวจ FNA ทำได้ง่าย ราคาไม่แพง ภาวะแทรกซ้อนน้อยมาก ควรทำการตรวจทุกรายถ้าไม่มีข้อห้าม
5. การตรวจอื่นๆ เช่น อัลตร้าซาวด์,  thyroid scan

Ref: 
http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMcp1003896
Common problem in internal medicine ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์

1,483. ข้อคิดของคำว่า morning sickness

คำว่า morning sickness เป็นคำเรียกที่ไม่ตรงกับลักษณะที่เกิดขึ้นจริง  เพราะภาวะนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะช่วงเช้า แต่เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งวัน โดยพบว่าหญิงที่ตั้งครรภ์เกิดภาวะนี้ประมาณ 35 % จะมีลักษณะคลื่นใส้อาเจียนที่ชัดเจน จนมีผลกระทบต่อการทำงานและความสัมพันธ์ในครอบครัว  และภาวะที่รุนแรงมากขึ้นคือ hyperemesis gravidarum ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ 0.3 - 1.0% โดยมีลักษณะ อาเจียนต่อเนื่อง น้ำหนักลดลงมากกว่า 5 % มีคีโตนในปัสสาวะ มีความผิดปกติของเกลือแร่ (โปแตสเซียมในเลือดต่ำ) มีภาวะขาดน้ำ (ความถ่วงของปัสสาวะสูงขึ้น)

Ref :
http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMcp1003896

1,482. เหตุผลที่ผู้ที่มีกรดยูริคสูงในเลือดไม่ได้เป็นเก๊าท์ (gouty arthritis) ทุกคน

เหตุผลที่ผู้ที่มีกรดยูริคสูงในเลือดไม่ได้เป็นเก๊าท์ (gouty arthritis) ทุกคน และเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยที่ไม่เป็น ลองอ่านดูตามนี้นะครับ...

เก๊าท์ (gouty arthritis) เกิดจากการอักเสบเนื่องจากการมีผลึกของ monosodium urate สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อของข้อสูงกว่าจุดอิ่มตัว โดยพบว่าการมีผลึกของ monosodium urate ในน้ำเลี้ยงข้อไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้เกิดข้ออักเสบ  ปัจจัยเฉพาะที่ ที่ทำให้เกิดการสะสมได้แก่การเปลี่ยนแปลงของความเป็นกรดด่าง การมีอุณหภูมิต่ำลง  ซึ่งช่วยอธิบายว่าอาการจะกำเริบตอนกลางคืน  และภาวะการขาดน้ำที่ในข้อ เช่นการได้รับยาขับปัสสาวะ  พบว่าผู้ที่มีกรดยูริคสูงส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเก๊าท์ จากข้อมูลพบว่าอุบัติการเกิดขึ้น 0.5 %/ปี ในผู้ที่มีระดับระหว่าง 7-8.9 mg/dl. และ 4.5 %/ปี เมื่อมีระดับตั้งแต่ 9 mg/dl.ขึ้นไป
ส่วนปัจจัยในระบบของร่างกายที่เพิ่มความเสี่ยงของการมีกรดยูริคสูงในเลือดก็จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดอาการของเก๊าท์ ซึ่งได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง การดื่มเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ ภาวะอ้วน การใช้ยาขับปัสสาวะ จากข้อมูลพบว่าความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นจากการรับประทานเนื้อแดงและอาหารทะเล แต่การรับประทานผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนมจะช่วยป้องกัน สิ่งกระตุ้นที่พบบ่อยๆ เช่น การติดเชื้อ การฉีดสารทึบรังสีทองหลอดเลือดดำ ภาวะเป็นกรด การเปลี่ยนอย่างรวดเร็วของระดับกรดยูริค เช่น ภาวะการบาดเจ็บ การผ่าตัด การกำเริบของสะเก็ดเงิน การเริ่มได้ยาเคมีบำบัด การำด้ยาขับปัสสาวะ การหยุกหรือเริมยา allopurinol
และพบว่าการที่มีระดับของกรดยูริคไม่สูงก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดข้ออักเสบได้ถ้ามีปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่เอื้ออำนวย

Ref: http://www.aafp.org/afp/2007/0915/p801.html
Common problem in internal medicine ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

1,481. Acyclovir in herpervirus infection

อาจจะสงสัยว่าขนาดของยา Acyclovir ที่ใช้ในการรักษาโรคที่เกิดจาก herpervirus ที่พบบ่อย ๆ เป็นเท่าไรบ้าง เวลาจะใช้รู้สึกไม่แน่ใจ จึงลองสรุปได้ดังนี้ครับ...


-Bell 's palsy (สัมพันธ์กับ herpes simplex type 1) ขนาดยา 400 มก. 5 ครั้ง/วัน นาน 10 วัน
-เริมที่ปาก (oral herpes simplex) ขนาดยา 200 มก. 5 ครั้ง/วัน ไม่ได้บอกระยะเวลาชัดเจน แต่บางแนวทางใช้ที่ 5-10 วัน
-เริมที่อวัยวะเพศ (genital herpes simplex) ขนาดยา  200 มก. 5 ครั้ง/วัน นาน 10- 14 วัน ถ้าเป็นครั้งแรก และให้ 5 วัน ถ้าเป็นซ้ำ
-งูสวัด (shingles หรือ herpes zoster) ขนาดยา 800 มก. 5 ครั้ง/วัน นาน 7-10 วัน
-สุกใส (varicella หรือ chickenpox) ขนาดยา 800 มก. 5 ครั้ง/วัน นาน 5-7 วัน

Ref : Harrison's Principles of Internal Medicine 
Drug Information Handbook

1,480. ผู้ป่วยมาปรึกษาว่า 2 วันก่อนดูดนมจากหลอด ที่มีผู้เคยเอาหลอดนี้ป้อนนมลูกแมว

มีผู้ป่วยมาปรึกษาว่า 2 วันก่อนดูดนมจากหลอด ที่มีผู้เคยเอาหลอดนี้ป้อนนมลูกแมว (เพิ่งทราบหลังใช้หลอดนั้นแล้ว) วันนี้ลูกแมวตัวนั้นตาย ผู้ป่วยไม่สบายใจกลัวว่าน้ำลายของแมวที่หลอดจะเข้าไปในปาก เราจะให้การพิจารณาเรื่องนี้ และให้การดูแลรักษาอย่างไรดีครับ?
ผมเอาข้อมูลเรื่องลักษณะการสัมผัสโรคมาให้เพื่อช่วยในการพิจารณานะครับ

WHO category I คือ ให้อาหารจับต้องตัวสัตว์ หรือ ถูกเลียที่ผิวหนังปกติ กรณีนี้ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา หรืออาจให้การรักษาโดยการให้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแบบก่อนสัมผัสโรค (pre-exposure prophylaxis) เนื่องจากผู้สัมผัสโรคส่วนใหญ่จะมีความวิตกกังวล และการให้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแบบก่อนสัมผัสโรคอาจมีประโยชน์ในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการสัมผัสโรค และมีโอกาสสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าซ้ำอีกในอนาคต เช่น เลี้ยงสุนัข ฯลฯ และผู้ที่อาศัยอยู่ในแหล่งชุกชุมของโรค (rebies endemic areas) เช่น ประเทศไทย ซึ่งยังมีโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ชุกชุม

WHO category II คือ บาดแผลถูกงับเป็นรอยช้ำบนผิวหนังไม่มีเลือดออก บาดแผลถูกข่วนหรือเป็นรอยถลอกไม่มีเลือดออก หรือเลือดออกเพียงซิบ ๆ ถูกสัตว์เลียบนผิวหนังที่มีบาดแผลเก่าซึ่งยังไม่หายจะให้การรักษาด้วยวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

WHO category III คือ บาดแผลถูกกัด ข่วนซึ่งมีเลือดออกชัดเจน เยื่อบุ เช่น ตา ปาก ถูกปนเปื้อนด้วยน้ำลายของสัตว์ ถูกสัตว์เลียบนผิวหนังที่มีบาดแผลสด รับประทานเนื้อของสัตว์ที่เป็นโรคซึ่งปรุงไม่สุก การดื่มนมที่ไม่ผ่านการพลาสเจอไรซ์จากวัวที่เป็นโรคจากวัวที่เป็นโรค สัมผัสโรคจากค้างคาว เหล่านี้จะให้การรักษาด้วยวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ร่วมกับอิมมูโนโกลบุลิน
(บทความวิชาการ เรื่องการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและการดูแลรักษาผู้ป่วยภายหลังสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า โดยสถานเสาวภา สภากาชาดไทย)


จากข้อมูลของผู้ป่วย น่าจะเข้าได้กับ category 3 เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางมาตรฐานคงต้องให้การรักษาดังที่กล่าวข้างต้น หรือมีท่านใดมีความเห็นเป็นอย่างอื่น สามารถให้ความเห็นมาได้นะครับ.....

1,479. Folic acid กับการตั้งครรภ์

ควรให้  folic acid ปริมาณ 400 micrograms (mcg) ต่อวัน จะช่วยป้องกัน  major birth defects ของสมองและไขสันหลัง (anencephaly และ spina biida) ได้ 50% - 70%.
โดยเริ่มอย่างน้อย 1 เดือนก่อนจะเริ่มการตั้งครรภ์ แต่อย่างไรก็ตามผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะวางแผนว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ ก็มีความต้องการ  folic acid เพื่อการสร้างเซลใหม่ในแต่ละวัน
มีสองทางที่จะทำให้ได้รับอย่างเพียงพอคือ
1. การรับประทานวิตามินรวมที่มี  folic acid หรือยาเม็ด  folic acid และอย่าลืมดูขนาดว่าได้ปริมาณตามที่ต้องหรือไม่
2.  รับประทานอาหารธัญพืช โดยอย่าลืมดูที่ฉลากผลิตภัณฑ์ด้วยว่ามีปริมาณเพียงพอหรือครบตามที่ต้องการในแต่ละวันหรือไม่


เพิ่มเติม
กรดโฟลิค (folic acid) หรืออาจเรียกว่าวิตามินบี 9