วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

1,558. Genomics and perinatal care

Review article
Genomic medicine
N Engl J Med  January 5, 2012  

เทคโนโลยีใหม่ ๆ ทุกอย่างทางด้านจีโนม มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถประยุกต์ใช้ด้านการแพทย์ในช่วงก่อนการตั้งครรภ์ ก่อนคลอด และการดูแลทารกแรกคลอด  แต่วิธีการที่จะใช้ยังเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากัน แม้ว่าขณะนี้เราสามารถที่จะตรวจสอบจีโนมมนุษย์ได้อย่างแม่นยำแน่นอน แต่ genotype อาจจะไม่สามารถทำนาย phenotype ได้ การพัฒนาและการนำแนวทางไปใช้ จะเกี่ยวเนื่องกับคำถามที่ว่า  input จากลูกค้าและผู้ให้การสนับสนุน ประโยชน์ที่จะได้รับ และการวิเคราะห์เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย-ความคุ้มค่า
ในวันนี้การพัฒนาการเพื่อวัดผลลัพท์ในการประเมินการให้บริการทางพันธุกรรมคลินิคยังอยู่ในระยะที่เพิ่งเริ่ม แพทย์ได้รับการส่งเสริมให้รับรู้ความเจิญก้าวหน้าและแนวทางคำแนะนำระดับสากล โดยแพทย์แต่ละคนเป็นผู้ให้ความรู้ที่สำคัญของผู้ป่วยและเป็นบุคคลสำคัญของเครือข่ายระบบการส่งต่อสำหรับการดูแลรักษาเฉพาะซึ่งนำมาสู่ความแตกต่างระหว่างโลกของการแพทย์ส่วนบุคคลและโลกของข้อมูลหลักฐานทางการแพทย์
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบด้วย
Preconception Genetic Screening and Testing
Preimplantation Genetic Screening
Preimplantation Genetic Diagnosis
Prenatal Genetic and Genomic Testing
Noninvasive Prenatal Diagnosis
Newborn Genetic Screening
Newborn Genetic Diagnosis
Direct-to-Consumer Analyses
Genomics and Maternal and Child Health
Conclusions
Source Information

อ่านต่อ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1105043

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

1,557. A tale of coronary artery disease and myocardial infarction

Review article
200th anniversary article
N Engl J Med  January 5, 2012

John Warren ได้เคยบรรยายเกี่ยวกับอาการเจ็บหน้าอกแบบที่เรียกว่า angina pectoris ในปี 1812  ซึ่งสัมพันธ์กับการสะสมของหินปูนในเส้นเลือดแดงโคโรนารี่ จนมาถึงความรู้ความเข้าใจในปัจจุบันของพันธุกรรมและทางด้านโมเลกุลที่เป็นพื้นฐานของโรคเส้นเลือดแดงโคโรนารี่ จากการค้นพบ, นวัตกรรม และการรักษาที่ก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์ของหลอดเลือดหัวใจและทางการแพทย์ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งขณะนี้เราได้ใช้โอกาสของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ โดยได้รับการผลักดันจากผลของการศึกษาทางระบาดวิทยาที่มีมากมายในการศึกษากลุ่มประชากรและการศึกษาแบบ randomized clinical trials ขนาดใหญ่ประเมินรากฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการรักษา ซึ่งจะทำให้การดูแลผู้ป่วยด้านหลอดเลือดและหัวใจดีขึ้นโดยทั่วโลก
เนื้อหาโดยละเอียดประกอบไปด้วย
The emergence of coronary artery disease
Coronary Risk Factors
Coronary Care Units
Physiology, Cardiac Catheterization, Angioplasty, and Surgery
Modern Therapy
Unstable Angina and Non–ST-Segment Elevation Myocardial Infarction
Coronary Atherosclerosis
Genomics, Cell-Based Therapies, and Molecular Targeting — The Next FrontiersGlobal Cardiovascular DiseaseConclusionsSource Information


1,556. ข้อควรทราบเรื่องการแก้ไขภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

-ภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำไม่รุนแรง ให้รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม
-ภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำปานกลาง ให้รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 30 กรัม  
ซึ่งอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม คือ กลูโคสเม็ด 3 เม็ด น้ำส้มคั้น 180 มล. น้ำอัดลม  180 มล. น้ำผึ้ง 3 ช้อนชา ขนมปัง 1 แผ่นสไลด์ นมสด 240 มล. ไอศกรีม 2 สคูป ข้าวต้มโจ็ก 1/2 ถ้วย กล้วย 1 ผล 
อาการมักดีขึ้นใน 15-20 นาที หลังได้รับอาหาร
-ส่วนในกรณีที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรง ให้การรักษารักษาด้วย สารละลายกลูโคส 50 % เข้าทางหลอดเลือดดำ หรือการให้ให้ฮอร์โมนกลูคากอน (สารละลายกลูโคส 50 % 50 มล. จะมีกลูโคส 25 กรัม)
*การรับประทานกลูโคส 15 กรัม จะช่วยให้ระดับกลูโคสในเลือดเพิ่มขึ้นประมาณ 38 มก./ดล. ภายในเวลา 20 นาที*

โดยความรุนแรงของภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด แบ่งตามอาการและอาการแสดงที่เกิดขึ้น และ
ความสามารถของผู้ป่วยในการช่วยเหลือตนเอง ได้แก่
1. ภาวะน้ำตาลต่ำในเลือดระดับไม่รุนแรง (mild hypoglycemia) หมายถึง ผู้ป่วยมีระดับพลาสมากลูโคสต่ำ
แต่ไม่มีอาการหรือมีอาการออโตโนมิคซึ่งผู้ป่วยสามารถทำการแก้ไขได้ด้วยตัวเอง
2. ภาวะน้ำตาลต่ำในเลือดระดับปานกลาง (moderate hypoglycemia) หมายถึง ผู้ป่วยมีระดับพลาสมา
กลูโคสต่ำ และมีอาการออโตโนมิคและอาการสมองขาดกลูโคสเกิดขึ้นเล็กน้อยหรือปานกลาง ซึ่งผู้ป่วย
สามารถทำการแก้ไขได้ด้วยตัวเอง
3. ภาวะน้ำตาลต่ำในเลือดระดับรุนแรง (severe hypoglycemia) หมายถึง ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงจนไม่
สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองและต้องอาศัยผู้อื่นช่วยเหลือ หรืออาการรุนแรงมาก เช่น ชัก หมดสติ 

อ้างอิงและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน 2554

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

1,555. มาตรฐานการวินิจฉัยโรคจากการทำงาน ฉบับเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา

มาตรฐานการวินิจฉัยโรคจากการทำงานฉบับเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิม
พระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ฉบับนี้ นับเป็นหนังสือที่มีคุณค่ายิ่งที่สำนักงานประกัน
สังคมมีความตั้งใจจัดทำขึ้น เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นคู่มือในการพิจารณาวินิจฉัยการเจ็บป่วยของลูกจ้างด้วยโรคที่เกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงาน ตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดชนิดของโรคซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงานหรือเนื่องจากการทำงานโดยแบ่งเป็น ๘ กลุ่มโรค ซึ่งเป็นชนิดโรคที่นานาประเทศให้การยอมรับว่าเกิดขึ้นเนื่องจากการทำงาน
สำนักงานประกันสังคม เชื่อว่า “มาตรฐานการวินิจฉัยโรคจากการทำงาน ฉบับเฉลิมพระเกียรติ
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐” ฉบับนี้จะเป็นประโยชน์
ต่อแพทย์ผู้รักษา เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานประกันสังคม ตลอดจนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานอื่นที่
เกี่ยวข้อง ส่งผลให้ลูกจ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการทำงานมีโอกาสได้รับการดูแลรักษา
ตรวจวินิจฉัยโรคจากการทำงานตามหลักวิชาการทางการแพทย์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เป็นประโยชน์แก่
บุคลากรทางการแพทย์ และผู้สนใจทั่วไป ในการศึกษาค้นคว้าด้านอาชีวเวชศาสตร์เพื่อเป็นการพัฒนา
องค์ความรู้ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น


1,554. ข้อควรทราบเกี่ยวกับการให้ยาความดันโลหิตสูงในระยะยาวภายหลังเกิดภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน

อาจจะสงสัยว่าภายหลังผู้ป่วยเกิดภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน จะเริ่มให้ยาลดความดันโลหิตสูงเพื่อให้การรักษาในระยะยาว และจะควบคุมให้อยู่ในระดับเท่าไร (ไม่รวมการลดความดันโลหิตในขณะที่เกิดภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน ที่เคยกล่าวไว้แล้วใน post ที่ 1,347)
จากการสืบค้น จะเริ่มให้เมื่่อ 1-4 สัปดาห์ โดยการให้ยาแบบค่อยเป็นค่อยไป ขึ้นอยู่กับสภาวะของผู้ป่วย โดยควบคุมให้ความดันโลหิตน้อยกว่า 140/90 mmHg.และน้อยกว่า 130/80 mmHg. ในผู้ป่วยหวาน

Ref: แนวทางการรักษา โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำหรับแพทย์

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

1,553. ข้อควรทราบในการเลือกใช้ยาต้านจุลชีพในไซนัสอักเสบเฉียบพลันจากเชื้อแบคที่เรีย

อาจจะสงสัยว่ากรณีเป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลันจากเชื้อแบคที่เรียควรเลือกยาปฏิชีวนะใดก่อน ขนาดเท่าใด และต้องใช้เวลาในการรักษานานเท่าใด?
ยาต้านจุลชีพที่ควรเลือกใช้อันดับแรก (first-line antibiotics)
1. Amoxicillin
- ไม่เคยได้รับยาต้านจุลชีพมาก่อนภายใน 4-6 สัปดาห์ ให้ในขนาดวันละ 2 กรัม
โดยแบ่งให้วันละ 2 หรือ 3 เวลา
- เคยได้รับยาต้านจุลชีพมาก่อน 4-6 สัปดาห์ หรือในพื้นที่ที่มีความชุกของ drug resistant streptococcus pneumoniae (DRSP) สูงให้ amoxicillin ในขนาด 3 กรัมต่อวัน
2. ในกรณีที่แพ้ penicillin แต่ไม่แพ้ cephalosporin ให้ใช้ cefuroxime axetil,
cefprozil แต่ถ้า แพ้ cephalosporin ด้วยให้เลือก erythromycin หรือ
clarithromycin หรือ azithromycin หรือ doxycyline หรือ co-trimoxazole เป็น
อันดับแรก
ยังมียาต้านจุลชีพที่ควรเลือกใช้เป็นอันดับสองและสาม (second and third line antibiotics)
ใช้ในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อ first และ secound line drug ขอให้ติดตามอ่านตามลิ้งค์ด้านล่างครับ

Ref: http://www.rcot.org/pdf/Clinical_Practice_Guideline_on_the_Management_of_Acute_Bacterial_Rhinosinusitis_in_Thai.pdf

1,552. แนวทางการดูแลรักษาโรคไซนัสอักเสบในคนไทย

แนวทางการดูแลรักษาโรคไซนัสอักเสบในคนไทย
(Clinical practice guideline on the management of acute bacterial rhinosinusitis in thai)
เนื้อหาประกอบด้วย
-บทนำ
-การให้น้ำหนักของหลักฐานและระดับของคำแนะนำวิธีปฏิบัติ
-คำจำกัดความ
-พยาธิสรีรวิทยาของโรคไซนัสอักเสบ
-การวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบชนิดเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (ABRS)
-การถ่ายภาพถ่ายรังสีของไซนัส
-การถ่ายภาพไซนัสด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก
-การตรวจพิเศษอื่นๆ
-การรักษา
  • การรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ
  • การรักษาด้วยยา Decongestants
  • Intranasal Corticosteroids
  • ยาอื่นๆ
  • การรักษาด้วยการผ่าตัดไซนัสและการผ่าตัดอื่นๆ
-การส่งผู้ป่วยต่อไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
-แผนภูมิการวินิจฉัย ABRS
-แผนภูมิการรักษาผู้ป่วย ABRS ในผู้ใหญ่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
-แผนภูมิการรักษาผู้ป่วย ABRS ในเด็กที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
-ขนาดยาต้านจุลชีพที่ใช้ในเด็กเปรียบเทียบกับในผู้ใหญ่


วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

1,551. เหตุผลที่ไม่แนะนำให้ตรวจหา antibody ต่อเชื้อเอชไอวี ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 เดือน ในกรณีมารดาติดเชื้อเอชไอวี

ทารกที่คลอดจากมารดาติดเชื้อเอชไอวีจะมี antibody ต่อเชื้อเอชไอวีของมารดาส่งผ่านมาทางรก และ antibody ของมารดาจะค่อยๆ ลดลงในเด็กที่เกิดจากมารดาติดเชื้อที่อายุต่ำกว่า 12 เดือนไม่แนะนำให้ใช้วิธีการตรวจหา antibody ต่อเชื้อเอชไอวี โดยพบว่าร้อยละ 95 ของเด็กไม่ติดเชื้อเอชไอวีจะมีผลการตรวจหา antibody เป็นลบเมื่อเด็กอายุได้ 12 เดือน หากตรวจantibody ยังเป็นบวกแนะนำให้ตรวจซ้ำเมื่อเด็กมีอายุ 18 เดือนแต่ปัจุบันควรรตรวจหาส่วนประกอบของไวรัสซึ่งสามารถวินิจฉัยการติดเชื้อในเด็กได้เร็วและแม่นยำขึ้นโดยการตรวจ proviral DNA ด้วยวิธี PCR อย่างไรก็ตามเมื่อเด็กอายุ 18 เดือนขึ้นไป แต่อย่างก็ตามจำเป็นต้องได้รับการยืนยันการติดเชื้อด้วยวิธีการตรวจหา antibody ตามแนวทางของผู้ใหญ่หรือเด็กที่มีอายุมากกว่า 18 เดือนเช่นกัน

Ref: แนวทางการตรวจวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ระดับชาติ ปี พ.ศ. 2553

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

1,550. ข้อควรทราบเกี่ยวกับการรับประทานยาต้านไวรัสอย่างตรงเวลา

อาจจะสงสัยว่าเราแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาต้านไวรัสให้ตรงเวลา ตามที่เขียนไว้ แต่เวลาที่ยอมรับได้ว่าตรงเวลาที่ยอมให้คลาดเคลื่อนได้เป็นเท่าไร หรือต้องให้ตรงเวลาเปะโดยไม่คลาดเคลื่อนเลย?

ในแนวทางการตรวจวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ ระดับชาติ ปี พ.ศ. 2553 เขียนไว้ว่า
ความคลาดเคลื่อนในการรับประทานยาโดยต้องไม่ก่อนเวลาหรือเกินกว่าเวลาที่กำหนด 30 นาที และไม่จำเป็นต้องคำนึงว่ายาที่ผู้ป่วยรับประทานนั้นมีค่าครึ่งชีวิตสั้นหรือยาว หรือสามารถอยู่ในร่างกายได้นานมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อยุติและสามารถนำผลการประเมินมาใช้อ้างอิงในภาพรวมได้ เมื่อได้ผลการวัดสามารถนำมาคำนวณหา %adherence ต่อไป
และอีก 2 อ้างอิงด้านล่างก็กล่าวถึงเวลาคลาดเคลื่อนที่ 30 นาทีเช่นเดียวกัน
แต่ในทางปฎิบัติการตรงเวลาโดยมีความสม่ำเสมอเท่าๆ กันทุกๆ วัน น่าจะทำระดับยาสม่ำเสมอเกิดประสิทธฺภาพสูงสุด

Ref:
แนวทางการตรวจวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์
ระดับชาติ ปี พ.ศ. 2553
http://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/7185/1/324351.pdf
pharmacy.swu.ac.th/wp-content/.../vol-5-no-4-2010-pg-309-315.pdf

1,549. การบริการเมทาโดนระยะยาว (methadone maintenance treatment)

โดย สถาบันธัญญารักษ์
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ทุนสนับสนุนจาก สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)

การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดกลุ่มโอปิออยด์ ที่ได้ผลและสามารถลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด
มีหลายวิธี การบำบัดด้วยเมทาโดนระยะยาวเป็นทางเลือกหนึ่งที่สำคัญและมีประสิทธิภาพ โดยการให้
เมทาโดนทดแทน ซึ่งวิธีการนี้สามารถช่วยลดปัญหาต่างๆ ของผู้เสพติด ได้แก่ ปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อน
การมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ ได้