วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

1,944 เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus)

Am Fam Physician. 2009 Jul 1

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์เกิดขึ้นร้อยละ 5 - 9 ของการตั้งครรภ์ในประเทศสหรัฐอเมริกาและมีอัตราความชุกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งยังเป็นที่โต้แย้งและยังขัดกันในรูปแบบและแนวทางการรักษา การศึกษาล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการวินิจฉัยและการดูแลรักษามีผลผลลัพธ์ที่ดีต่อทั้งมารดาและทารกแรกเกิด รวมทั้งการลดลงของอัตราการคลอดติดไหล่, การมีกระดูกหัก, อัมพาตของเส้นประสาท และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำของทารกแรกเกิด
การตรวจวินิจฉัยตามแบบสากลโดยการคัดกรองเป็นลำดับซึ่งเริ่มจากการทดสอบความทนต่อกลูโคสโดยให้รับประทาน 50 กรัมเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วเจาะเลือด ถ้าให้ผลบวกให้ตรวจต่อเพื่อดูความทนต่อกลูโคสหลังรับประทาน 100 กรัม แล้วตรวจระดับน้ำตาลทุก 1 ชั่วโมง 3 ครั้ง
การรักษาประกอบด้วยการตรวจติดตามระดับน้ำตาล การปรับเปลี่ยนอาหาร การออกกำลังกาย และถ้าจำเป็น การใช้ยาจะทำให้น้ำตาลอยู่ในระดับปกติ โดยอินซูลินเป็นการรักษาหลักแม้ว่า glyburide และ metformin และอาจมีการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น
ในหญิงที่ได้รับยา การตรวจก่อนคลอดด้วย nonstress tests และตรวจน้ำคร่ำ โดยจะเริ่มตรวจในไตรมาสที่ 3 เพื่อใช้ในการตรวจสอบความมีสุขภาพดีของทารก
วิธีการและระยะเวลาที่จะให้คลอดยังเป็นที่โต้แย้ง สตรีที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคเบาหวานประเภท 2 ในเวลาต่อมา การปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตเป็นสิ่งที่ควรส่งเสริม ร่วมกับกับการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานเป็นประจำ


อ่านต่อ http://www.aafp.org/afp/2009/0701/p57.html

1,943 ข้อควรทราบเกี่ยวกับผู้ป่วยเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ ภายหลังคลอดแล้ว

Am Fam Physician. 2009 Jul 1

ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยอินซูลินต่อภายหลังคลอด แม้ว่าจะต้องระมัดระวังในการตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดก่อนให้กลับบ้าน ประมาณร้อยละ 50 ของผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะมีการเกิดเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ภายใน 5- 10 ปี และยังมีความเสี่ยงของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ในการตั้งครรภ์ต่อๆ มา ดังนั้นการคัดกรองเป็นประจำสำหรับเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นสิ่งที่ควรมีการสนับสนุนอย่างยิ่ง
การทดสอบความอดทนต่อกลูโคส (oral glucose tolerance test) เป็นช่วงๆ ทุกสามปีแสดงให้เห็นว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการคัดกรองเนื่องจากผู้หญิงที่มีประวัติของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2 จึงยังดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลถึงการแนะนำการดำเนินชีวิตตามโปรแกรมการป้องกันโรคเบาหวาน
ข้อแนะนำในการส่งเสริมการลดน้ำหนักหลังคลอดและลดอุบัติการณ์ของโรคเบาหวานประเภท 2 ได้แก่ การให้นมบุตร การออกกำลังกายที่ระดับความหนักปานกลางเป็นเวลาอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์และการปรับเปลี่ยนอาหารสำหรับเป้าหมายการลดน้ำหนักโดยเฉพาะ

อ่านต่อ http://www.aafp.org/afp/2009/0701/p57.html

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

1,942 ท้องผูกเรื้อรัง (chronic constipation)

American Family Physician
August 1 2011 Vol. 84 No. 3
ภาวะท้องผูกโดยทั่วมีความหมายคือมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ (bowel movements) 3 ครั้งหรือน้อยกว่าต่อสัปดาห์ ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ เพศหญิง อายุที่มากขึ้น การไม่ได้ทำกิจกรรม รับประทานอาหารปริมาณแคลอรี่ต่ำไขมันต่ำ มีเส้นใยน้อย รายได้น้อย ระดับการศึกษาต่ำและการรับประทานยาเป็นจำนวนมาก
ภาวะท้องผูกเรื้อรังแบบ function (primary) หรือชนิด secondary โดยภาวะท้องผูกเรื้อรังสามารถแบ่งออกเป็น การเคลื่อนไหวของลำไส้เป็นที่เป็นปกติ (normal transit), การเคลื่อนไหวของลำไส้เป็นไปอย่างช้า (slow transit) หรือท้องผูกที่เกิดจากความผิดปกติของทางออก (outlet constipation) สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ของภาวะท้องผูกเรื้อรัง ได้แก่ การใช้ยา เช่นเดียวกับสภาวะทางการแพทย์เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย หรืออาการลำไส้แปรปรวน ผู้ป่วยสูงอายุที่อ่อนแออาจมีอาการแบบไม่จำเพาะ เช่น เพ้อ สับสนเฉียบพลัน อาการเบื่ออาหาร และประสิทธิภาพของการทำงานลดลง
การประเมิน รวมถึงประวัติและการตรวจร่างกายเพื่อตัดอาการและอาการแสดงที่เป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะร้ายแรง ซึ่งรวมถึงหลักฐานของการมีเลือดออก, น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ, โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก, ท้องผูกที่มีอาการเริ่มอย่างเฉียบพลันในผู้สูงอายุ การมีทวารหนักปลิ้นออก (rectal prolapse) ผู้ป่วยที่มีอาการหรืออาการแสดงตั้งแต่หนึ่งสัญญาณต้องการประเมินโดยเร็ว การส่งต่อผู้ป่วยไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการตรวจประเมินและการวินิจฉัยเป็นสิ่งที่สำคัญ


อ่านต่อ http://www.aafp.org/afp/2011/0801/p299

1,941 เกณฑ์การวินิจฉัยภาวะท้องผูกโดย Rome III diagnostic criteria

Functional constipation
1. ประกอบด้วยตั้งแต่สองข้อดังต่อไปนี้
a. ต้องมีการเบ่งอุจจาระ 25% ระหว่างการถ่ายอุจจาระ
b. อุจจาระเป็นก้อนหรือแข็งอย่าง 25% ของการถ่ายอุจจาระ
c. มีความรู้สึกว่าถ่ายอุจจาระไม่สุด อย่างน้อย 25% ของการถ่ายอุจจาระ
d. มีความรู้สึกว่าถ่ายอุจจาระไม่ออกเหมือนมีอะไรมาอุดกั้นที่ทวารหนัก อย่างน้อย 25% ของการถ่ายอุจจาระ
e. ต้องมีการช่วยในการถ่ายอุจจาระอย่างน้อย 25% ของการถ่ายอุจจาระ (เช่น การใช้นิ้วช่วย, support of the pelvic floor)
f. ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์
2. การมีอุจจาระนิ่มพบได้น้อยมากถ้าไม่ใช้ยาระบายช่วย
3. ไม่เข้ากับเกณฑ์การวินิจฉัยของ irritable bowel syndrome
โดยครบถ้วนตามเกณฑ์การวินิจฉัยเป็นเวลา 3 เดือนและเริ่มมีอาการแสดง 6 เดือนก่อนให้การวินิจฉัย

Ref: http://www.romecriteria.org/assets/pdf/19_RomeIII_apA_885-898.pdf

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

1,940 Antiretroviral prophylaxis for HIV prevention in heterosexual men and women

Original article
N Engl J Med    August 2, 2012


ที่มา การป้องกันก่อนการสัมผัสโรคโดยใช้ยาต้านไวรัสเป็นวิธีการที่มีแนวโน้มในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดเอชไอวี 1 (HIV-1) ในระหว่างเพศตรงข้าม (กลุ่มรักต่างเพศตามปกติ)
วิธีการศึกษา เป็นการทดลองแบบสุ่มของยาต้านไวรัสชนิดรับประทานสำหรับใช้เป็นยาป้องกันก่อนการสัมผัสโรคในกลุ่มรักต่างเพศ โดยคู่รักที่มีคนหนึ่งมีไวรัสในกระแสเลือดแต่อีกคนไม่มี จากประเทศเคนยาและยูกันดา
คู่ของผู้ติดเชื้อ (ซึ่งมีผลเลือดเป็นลบ) ในแต่ละคู่ได้รับการสุ่มให้ได้รับหนึ่งในสามของแนวทางตามการศึกษาได้แก่การได้รับ tenofovir (TDF), การให้ร่วมกันของ tenofovir และ emtricitabine (TDF-FTC), หรือยาหลอก (placebo)และติดตามเป็นรายเดือนเป็นเวลานาน 36 เดือน โดยคู่ของผู้ติดเชื้อที่มีผลเลือดเป็นบวก เป็นผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสตามแนวทางแห่งชาติ โดยผู้เข้าร่วมการศึกษาทุกคู่ได้รับการให้ความรู้และการดูแลในด้านการป้องกันการติดต่อตามมาตรฐาน
ผลการศึกษา จากผู้ลงทะเบียน 4,758 คู่, ได้รับการติดตาม 4,747 คู่: 1584 คู่ได้รับการสุ่มให้ TDF 1,579 คู่ได้รับ TDF-FTC และ 1,584 คู่ได้รับยาหลอก โดย 62% ได้รับการติดตาม ค่า CD4 เฉลี่ยคือ 495 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร (พิสัยควอไตล์ เท่ากับ 375-662)
ผลรวมของการติดเชื้อเอชไอวีที่เกิดขึ้นในผู้เข้าร่วมในระหว่างการศึกษาคือ 82 คน โดยเกิดขึ้น 17 คนในกลุ่ม TDF (อุบัติการณ์, 0.65 /100 คนต่อปี ) เกิดขึ้น 3 คนในกลุ่ม TDF-FTC  (อุบัติการณ์, 0.50 /100 คนต่อปี) และ 52 คนในกลุ่มยาหลอก (อุบัติการณ์, 1.99 /100 คนต่อปี) relative reduction 67% ในอุบัติการณ์ของการติดเชื้อ HIV-1 ในกลุ่ม TDF (ช่วงความเชื่อมั่น 95% [CI], 44-81, P < 0.001) และ 75% ในกลุ่ม TDF-FTC (95% CI, 55-87; P < 0.001) ผลของการป้องกันจาก TDF-FTC และ TDF เดี่ยวๆ ไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (P = 0.23) และการให้ยาจากทั้งสองแนวทางมีนัยสำคัญลดอุบัติการณ์ของเอชไอวี 1 ทั้งในชายและหญิง
สรุป การให้ยารับประทาน TDF และ TDF–FTC ทั้งสองสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี 1 ในกลุ่มที่รักต่างเพศทั้งในชายและหญิง

อ่านต่อโดยละเอียด http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa1108524

1,939 Hypothyroidism

American Family Physician
August 1 2012 Vol. 86 No. 3

ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย (hypothyroidism) เป็นความผิดปกติทางคลินิกที่พบบ่อยโดยแพทย์ปฐมภูมิ การไม่ได้รักษาภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยสามารถนำไปสู่​​ความดันโลหิตสูง, ความผิดปกติของไขมันในเลือด, ภาวะมีบุตรยาก, ความบกพร่องทางสติปัญญาและความผิดปกติของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
ข้อมูลที่ได้มาจากการสำรวจสุขภาพและโภชนาการแห่งชาติพบว่าประมาณ 1 ใน 300 คนในหรัฐอเมริกามีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย ความชุกเพิ่มขึ้นตามอายุและในเพศหญิงสูงกว่าเพศชาย
ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยอาจเกิดขึ้นเป็นผลมาจากการทำงานล้มเหลวของต่อมธัยรอยด์เองหรือการกระตุ้นต่อมไม่เพียงพอโดยไฮโปทาลามัสหรือต่อมใต้สมอง โรคภูมิต้านทานต่อตนเองของไทรอยด์ (autoimmune thyroid disease) เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยในประเทศสหรัฐอเมริกา
อาการทางคลินิกของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยไม่มีความจำเพาะ และอาจจะมีความซับซ้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ การประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ดีที่สุดของการทำงานของต่อมไทรอยด์คือการตรวจ hyroid-stimulating hormone (TSH) ไม่มีหลักฐานว่าการตรวจคัดกรองในผู้ใหญ่ที่ไม่มีอาการจะทำให้เกิดผลลัพท์ที่ดีขึ้น
โดยส่วนใหญ่ของผู้ป่วย สามารถให้การบรรเทาอาการได้โดยการรับประทาน levothyroxine ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะต้องให้การรักษาตลอดชีวิต การให้การรักษาร่วมกันของ triiodothyronine / thyroxine ไม่ได้มีข้อดีมากไปกว่าการให้ thyroxine เดี่ยวๆ และไม่ได้เป็นการรักษาที่แนะนำ
ในผู้ป่วยที่ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยไม่แสดงอาการซึ่งมีความเสี่ยงสูงของการนำไปสู่โรคทางคลินิก และผู้ที่อาจได้รับการพิจารณาเพื่อให้การรักษา รวมถึงผู้ป่วยที่มีระดับของ TSH มากกว่า 10 mIU/L และผู้ที่มีระดับ thyroid peroxidase antibodye titers เพิ่มสูงขึ้น

อ่านต่อ http://www.aafp.org/afp/2012/0801/p244.html

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

1,938 Atrio-ventricular dissociation (A-V dissociation)

เกิดจากการที่เอเตรียมและเวนทริเคิล ทำงานไม่สัมพันธ์กันเป็นอิสระต่อกัน เพราะต่างก็อยู่ใต้อิทธิพลของ pacemaker คนละแห่งกัน เวนทริเคิลเต้นเร็วกว่าเอเตรียมและคลื่นไฟฟ้าจาก AV junction หรือเวนทริเคิลขึ้นไปกระตุ้นเอเตรียมไม่ได้ ถ้าเกิดอย่างต่อเนื่องเรียกว่า complete A-V dissociation แต่บางครั้งอาจมีคลื่นไฟฟ้าจากเอเตรียมผ่าน AV junction ขณะไม่อยู่ในระยะ refractory และลงไปสู่เวนทริเคิลได้ (ventricular capture) เรียกว่า incomplete A-V dissociation บางครั้งเอเตรียมและเวนทริเคิลถูกกระตุ้นด้วย pacemaker ต่างกันแต่ในอัตราเกือบเท่ากันทำให้ดูเหมือน P wave และ QRS complex มีความสัมพันธ์กัน ถ้าเป็นอยู่นานและคงที่เรียกว่า synchronization และถ้าเป็นอยู่ชั่วคราวเรียกว่า accrochage, ซึ่ง complete A-V block เป็น complete A-V dissociation อย่างหนึ่ง แต่ทั้งสองไม่ใช่สิ่งเดียวกันเพราะมีลักษณะการเกิดต่างกัน โดย complete A-V dissociation อาจจะมีหรือไม่มี complete A-V block ก็ได้
สิ่งที่พบจาก EKG
1. P wave รูปร่างปกติเกิดอย่างสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ ใน EKG ไม่สัมพันธ์กับ QRS complex ที่เกิดอย่างสม่ำเสมอเหมือนกัน และอัตราเร็วของ P wave มักจะน้อยกว่า QRS
2. ถ้า P wave นี้อยู่ห่างจาก QRS complex พอสมควร จะเป็นระยะที่ประจุไฟฟ้าอาจจะผ่านลงไปยังเวนทริเคลได้ ทำให้เวนทริเคิลเกิดหดตัวก่อนกำหนด
3. QRS complex จะมีรูปร่างแล้วแต่ pacemaker ที่ 2 ว่าจะอยู่ที่ AV junction หรือเวนทริเคิล
4. เนื่องจากอัตราของประจุไฟฟ้าจาก AV node เร็วกว่าของ SA node ดังนั้นบางครั้งเราอาจมองดูคล้ายคลื่นไฟฟ้าหัวใจธรรมดา แต่มี PR interval สั้นลงๆ
พยาธิวิทยาของการเกิด
1. Pacemaker หลัก (dominant pacemaker) ซึ่งส่วนมากคือ SA node สร้างคลื่นไฟฟ้าได้ช้าหรือส้รางได้ปกติแต่ออกมากระตุ้นเอเตรียมช้าจนทำให้ pacemaker สำรอง (subsidiary pacemaker หรือ latent pacemaker) มีโอกาศสร้างและส่งคลื่นไฟฟ้าออกไปกระตุ้นเวนทริเคิลแทน pacemaker เหล่านี้ อาจอยู่ที่ AV juction หรือที่เวนทริเคิล (idioventricular) เอเตรียมเต้นช้ากว่าเวนตริเคิลอาจพบในขณะที่มี sinus arrhythmia หรือ sinus bradycardia
2. Pacemaker สำรอง (subsidiary pacemaker หรือ latent pacemaker) เพิ่ม automaticity มากขึ้นจนมีอัตราเร็วมากกว่า pacemaker หลัก และทำหน้าที่กระตุ้นเวนตริเคิลแทน มักมีสาเหตุเสมอ เช่น non paroxysmal AV junctional tachycardia, ventricular tachycardia เป็นต้น
ความสัมพันธ์ทางคลินิก อาจจะไม่มีอาการอะไร ถ้ามีอาการจะสัมพันธ์กับการมี หัวใจเต้นช้า หัวใจเต้นเร็ว AV dyssynchrony การสูญเสีย atrial kick รวมถึงอาการต่างๆ เช่น ออกแรงแล้วเหนื่อย มึนเวียนศรีษะ ปวดบริเวณคอ ใจสั่น อ่อนเพลียเบื่ออาหาร
ถ้าพบภาวะนี้ต้องหาสาเหตุเสมอ ที่พบบ่อยได้แก่
1. การให้ยาดิจิตาลิสเกินขนาด
2. เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของกล้ามเนื้อหัวใจตาย
3. โรคต่างๆ ที่ทำให้ AV node ทำงานมากกว่าปกติ เช่น การอักเสบอย่างเฉียบพลันทุกชนิด โรครูมาติก เป็นต้น
4. อาจพบในคนธรรมดาที่มี sinus bradycardia และทำให้เกิด AV nodal escape ได้

Ref: ตำราคลื่นไฟฟ้าหัวใจทางคลินิก อ. พยงค์ จูทา
 คลื่นไฟฟ้าหัวใจทางคลินิก อ. ชมพูนุช อ่องจริต
http://misc.medscape.com/pi/android/medscapeapp/html/A151715-business.html

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

1,937 Granulomatous inflammation

Granulomatous inflammation  เป็นชนิดหนึ่งของภาวะการอักเสบเรื้อรัง มีลักษณะของการเกิด granuloma ซึ่งเป็นลักษณะของการรวมตัวกันหรือการสะสมของเซลภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า macrophages, granuloma เกิดจากการที่ภูมิคุ้มกันพยายามที่จะห่อหุ้มสิ่งที่เป็นเสมือนสิ่งแปลกปลอมแต่ไม่สามารถกำจัดได้ ได้แก่ จุลชีพ เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา วัสดุบางอย่างเช่น keratin และด้ายจากการเย็บแผล, granulomatous เป็นคำทีมีความหมายคล้าย granulomas พบได้ในหลายโรคทั้งโรคติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ สาเหตุที่เกิดจากโรคติดเชื้อเช่น tuberculosis, leprosy, histoplasmosis, cryptococcosis, coccidioidomycosis, blastomycosis และ cat scratch disease  สาเหตุที่ไม่ได้เกิดจากโรคติดเชื้อ เช่น sarcoidosis, Crohn's disease, berylliosis, Wegener's granulomatosis, Churg-Strauss syndrome, pulmonary rheumatoid nodules การสำลักเศษอาหารลงสู่ปอด และสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น เศษด้าย เศษไม้ โดยอาจจะมีหรือไม่มีเนื้อเน่าตายก็ได้ (necrosis) ซึ่ง necrosis คือเซลที่ตายเห็นได้จากกล้องจุลทรรศน์มีเป็นก้อนของเศษซากเซลที่ตาย เป็นเซลที่ไม่มีนิวเคลียสแล้ว อยู่ตรงกลางอาจเรียกว่า caceous หรือเรียก caseous necrosis ซึ่งเป็นลักษณะค่อนข้องจำเพาะสำหรับวัณโรค
จากลักษณะของ granuloma อาจจะสามารถให้การวินิจฉัยได้ แต่อย่างไรก็ตามควรหาสาเหตุของโรคให้ได้โดยการย้อมพิเศษ โดยเพาะเชื้อหรือโดยทาง serologic studies
ส่วนคำว่า chronic granulomatous disease (CGD) เป็นโรคทางพันธุกรรที่มีความผิดปกติในผู้ป่วยแต่ละคนแตกต่างกัน โดยจะมีลักษณะการเกิดขึ้นซ้ำของการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยมีการเกิด granuloma ขึ้นเนื่องจากมีความผิดปกติของ phagocyte NADPH oxidase (phox) การรักษาหลักที่สำคัญคือยาต้านจุลชีพ การวินิจฉัยที่รวดเร็วตั้งแต่แรกที่มีการติดเชื้อ และการรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อ การใช้ยาช่วยควบคุม-ปรับระบบภูมิคุ้ม (immunomodulatory prophylaxis)

Ref: http://en.wikipedia.org/wiki/Granuloma
http://www.gpnotebook.co.uk/simplepage.cfm?ID=-1845100486
http://www.uptodate.com/contents/chronic-granulomatous-disease-treatment-and-prognosis
http://vet.kku.ac.th/pathology/sutthisak/gp5.htm

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

1,936 คู่มือแพทย์และบุคลากรทางสาธารณสุขในการรักษาและดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อหรืออาจติดเชื้อไข้หวัดใหญ่

ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 วันที่ 27 กันยายน 2554
โดยคณะทำงานด้านการรักษาพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ 

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555